ตอนที่ 1 สื่อท่วมท้น และลุงบุญมีเปิดเทศกาลหนังซินดี้
โพสท่าตามคำขอร้องของสื่อเกาหลี "ให้บอกแล้วกันครับว่าจะให้ยืนตรงไหน"
ความร้อนแรงของ ลุงบญมีระลึกชาติ ที่โซล เกาหลีใต้ ในช่วงเทศกาลหนังดิจิตัลโซลเมื่อวันที่ 18 - 24 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นอะไรที่นอกเหนือความคาดหมายอยู่ค่อนข้างมาก จริงอยู่ที่ว่าคนเกาหลีชอบหนัง ขนาดกล่าวได้ว่า คนฝรั่งเศสและเกาหลีเป็นประเทศที่รักหนังมากที่สุดในโลก เขารักทั้งผู้กำกับและดารา แม้กระทั่งคนธรรมดาอย่างนักวิจารณ์ก็ถูกขอลายเซ็น !
แต่แนวหนังทดลองในงานของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล น่าจะสกัดจำนวนคนดูหนังอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อไปถึงที่นั่น เราก็ต้องแปลกใจกับกระแสตอบรับที่ไม่แตกต่างจากบ้านเรานัก น่าจะมากกว่าด้วยซ้ำในแง่ของคุณภาพผู้ชม ลุงบุญมีระลึกชาติ และตัวผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล กลายเป็นที่สนใจของคนทุกกลุ่ม สื่อมาร่วมงานอย่างท่วมท้น ผู้กำกับที่มาร่วมเทศกาลก็เข้ามาทัก และขอถ่ายรูปกับเขา ยังไม่รวมคอหนังธรรมดา ๆ ที่เข้ามาทั้งขอถ่ายรูปกับลายเซ็นอยู่เป็นประจำ อาจกล่าวได้ว่า อภิชาติพงศ์เป็นดาราของเทศกาลประจำปีนี้ มากกว่ามูนโซริ ดาราสาวชาวเกาหลีที่เคยได้รางวัลนักแสดงหญิงจากเวนิส และเป็นกรรมการร่วมคณะเดียวกันกับอภิชาติพงศ์ในปีนี้
พิธีีเปิดเริ่มขึ้นตอนหัวค่ำของคืนวันที่ 18 แต่ตารางงานของอภิชาติพงศ์เริ่มก่อนนั้น ลุงบุญมีระลึกชาติ ฉายรอบสื่อตั้งแต่บ่ายสองโมง และอภิชาติพงศ์ ก็ต้องไปแถลงข่าวหลังจากนั้นทันที
มาหมดทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเตอร์เน็ต ทีวีมาเก็บงานแถลงข่าวเจ้ยมากกว่างานเปิดเสียอีก
มีสื่อเกาหลีเข้าร่วมงาน 50 กว่าราย ผู้จัดงานบอกว่า เป็นครั้งแรกที่สื่อให้ความสนใจกับเทศกาลมากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเทศกาลนี้มากนัก ทั้งที่มีผู้กำกับชื่อดังในเกาหลีอย่างปาร์กกียองเคยเป็นไดเร็คเตอร์ของเทศกาลมาก่อน
สำหรับคำถามของสื่อเกาหลีนั้น จัดได้ว่าทำการบ้านมาอยู่ไม่น้อย หลาย ๆ คำถามค่อนข้างแหลมคม มีตั้งแต่คำถามง่าย ๆ อย่างทำไมถึงทำหนังกับความเชื่อต่าง ๆ ของไทย ทำไมต้องเป็นเรื่องของการตายและคนตาย ฉากสุดท้ายในหนังหมายถึงอะไร
สำหรับคำตอบของอภิชาติพงศ์นั้นมีหลายอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งคงนำมาเขียนหมดที่นี่ไม่หมด แต่ขอยกคำตอบที่ว่า "ฉากสุดท้ายนั้นหมายถึงอะไร" อภิชาติพงศ์ตอบว่า จริง ๆ แล้วเขาต้องการเปิดให้ผู้อ่านตีความเอง แต่คนถามบ่อยมาก ก็เลยต้องบอก เขาต้องการสื่อถึงภาพมายาของชีวิตและสื่อภาพยนตร์ สิ่งที่เขานำเสนอนั้นพยายามให้เห็นความเรียบง่ายของภาพยนตร์ ตั้งเวลาในหนังจนสุดโต่ง เพื่อให้คนดูรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมันถูกสร้างขึ้นมา เหมือนเกม ๆ หนึ่ง ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งอะไร "มันไม่เป็นจริง" (It's not real.)
สื่ออีกจำนวนมาสัมภาษณ์ต่อ
การแถลงข่าวผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ยังมีคำถามต่อ ก็เลยต้องไปถามตอบกันต่อที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถอยู่ฟังได้ตลอด ต้องไปเตรียมตัวร่วมพิธีเปิดงาน แต่ก็ได้ยินคำถามแรก ๆ ว่า รู้สึกอย่างไรที่ได้รางวัลปาล์มทอง ซึ่งเจ้ยบอกว่า "ไม่คาดคิด เพราะคิดว่าตัวเองยังอายุน้อยเกินไปที่จะได้รับรางวัลนี้ แต่ถือว่าเป็นโบนัสชิ้นใหญ่"
.........มาเจอเจ้ยอีกครั้งบริเวณหน้าโรงหนัง ซึ่งเป็นโรงใหญ่สุดประมาณ 380 ที่นั่ง ทางผู้จัดบอกว่าตอนแรกออกบัตรเชิญไป 700 ใบ แต่ปรากฎว่าคนตอบรับการเชิญเยอะมากแบบรวดเร็ว จนตอนหลังต้องรีบแจ้งข่าวว่าบัตรเต็มแล้ว ต้องขอโทษด้วย
เขาจัดให้อภิชาติพงศ์นั่งติดกับรุ่นพี่ร่วมสถาบันที่ชิคาโก้ ... ฮงซางซู น่าจะไปเรียนก่อนเจ้ยร่วมสิบปีได้ ภาพยนตร์เรื่อง Hahaha ของฮงซางซูก็ได้รับรางวัล Un Certain Regard ที่เมืองคานส์ปีนี้ (หาจังหวะถ่ายรูปคู่ไม่ได้ค่ะ)
พิธีเปิดขึ้นด้วยการกล่าวที่มา พร้อมทั้งให้ไดเร็คเตอร์ ลีกวางโม ซึ่งเคยเป็นทั้งผู้กำกับและอาจารย์สอนในชุงอัน มหาวิทยาลัยหนังที่ดังสุดในเกาหลีใต้ เขาลาออกจาการเป็นอาจารย์แล้วหลังจาก 12 ปี เพื่อมาทำโรงหนังอาร์ตเฮ้าส์
เขากล่าวแนะนำกรรมการทีละคน เจ้ยก็ลุกขึ้นพร้อมโค้งคำนับ ก่อนที่จะต่อด้วยผู้กำกับหนังที่เข้าประกวดทั้ง 15 เรื่อง จากนั้นเป็นการเชิญเจ้ยขึ้นไปแนะนำ ลุงบุญมีระลึกชาติ
เจ้ยบอกว่า หนังของเขาถ่ายทำด้วยฟิลม์ 16 มม. และแม้ว่าหนังของเขาอาจจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยดิจิตัล แต่ท้ายที่สุดมันก็ต้องจบลงด้วยกระบวนการเช่นนั้น
จากนั้นเป็นการฉายหนังต่อ เจ้ยหันมา็ถามผู้เขียนว่า จะดูอีกหรือ ดิฉันพยักหน้า ค่ะ รอบที่สาม เจ้ยร้องโอ้โฮ (และคงจะดูอีก เพราะยังตีความเรื่อง spectatorship ไม่ได้แน่ชัด)
หลังจากหนังแล้ว มีปาร์ตี้อีก เราอยู่ต่อจนจบ ก่อนเดินกลับที่พักอย่างเหน็ดเหนื่อย
มีงานตอนที่ 2 อภิชาติพงศ์ กับ มาสเตอร์คลาส และพิธีปิด ต่อค่ะ
|