ถือว่าเป็นโครงการใหญ่ประจำปีนี้ สำหรับ Film Expo Asia และก่อนจะเกิดเหตุไม่สงบในบ้านเมือง ผู้จัดงานรีบชิงแถลงข่าวอย่างเร่งด่วนที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา โดย 3 โครงการใหญ่นี่มีตัวตั้งตัวตีเป็นสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ SIPA โดยโครงการนี้ได้รับงบมาจากโครงการไทยเข้มแข็ง และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทางด้านเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งก็คือการพัฒนางานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์รูปแบบต่างๆ ให้นำรายได้กลับคืนสู่ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวผลงานเอง หรือด้านการประชาสัมพันธ์ประเทศผ่านการเข้ามาร่วมกิจกรรมของชาวต่างประเทศ โดยในงานแถลงข่าว มีร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นประธานเปิดงาน
ดร.จิราศักดิ์ พงษ์พิษณุพิจิตร์ ประธานกรรมการบริหาร SIPA ได้กล่าวในงานแถลงข่าวว่า โครงการทั้งสามเป็นเหมือนการเปิดตัว SIPA ที่แต่ก่อนผู้คนอาจจะเคยได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง และก็ยังจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนไทยเก่งแค่ไหน เป็นการเริ่มต้นที่ดีแม้ว่าในตอนแรกงบจะได้มาค่อนข้างยากก็ตาม แต่เมื่อได้มาแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด
ทั้งสามโครงการนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน ดังนี้
- เทศกาลดนตรีเอเชีย ( 2010 เอเชี่ยนมิวสิคเฟสติวัล) เป็นการเปิดอบรมให้แก่ผู้สนใจด้านดนตรี โดยเน้นหนักไปที่ดนตรีและเสียงประกอบภาพยนตร์ จะเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ด้านนี้จากมืออาชีพ นำทีมโดยชื่อที่คุ้นหูกันอย่างดีอย่าง ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ ผู้ที่สนใจเข้ามาสมัครร่วมในเวิร์คชอป ก็ต้องมีพื้นฐานและความสนใจด้านการออกแบบเสียงและทำดนตรีประกอบอยู่ คัดเลือกผู้เข้าอบรม 99 คน
- เทศกาลแอนิเมชั่นเยาวชนเอเชีย (แอนิเมชั่นยูธเฟสติวัลเอเชีย 2010) เป็นการเปิดรับสมัครผู้สนใจด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ให้ประยุกต์เข้ากับสื่อดิจิตอล โดยวิทยากรจะเน้นไปที่คนทำหนังมากกว่าคนทำแอนิเมชั่น อย่างเช่นนนทรีย์ นิมิบุตร,อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ และบัณฑิต ทองดี เป็นต้น ผู้สนใจก็จะต้องมีพื้นฐานด้านการใช้โปรแกรม photoshop, after effect ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สำคัญลำดับต้นๆ ในการทำงานด้านนี้ คัดเลือกผู้เข้าอบรม 99 คน
- ฟิลม์เอ็กซ์โปเอเชีย เป็นส่วนในการผลิตหนังสั้น
ในส่วนของเวิร์คชอปของทั้งสามโครงการ จะจัดตามจังหวัดต่างๆ ทั้งหมด 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา,กรุงเทพ,ขอนแก่น,ภูเก็ต และเชียงใหม่ เป้าหมายของทุกโครงการคือจะมีผู้สมัครเข้าร่วมเวิร์คช็อปมากถึง 5,000 คน แต่ก็จะทำการคัดเลือกอีกทีหนึ่งเพื่อให้ได้ตามจำนวนที่เหมาะสมของแต่ละโครงการ โดยเริ่มสอนแล้วตั้งแต่ช่วงกลางมีนาคม ไปจนถึงช่วงต้นพฤษภาคม
ผู้ที่เข้าร่วมอบรมในสองโครงการแรก ซึ่งได้รับการคัดเลือกโครงการละ 99 คน จะต้องมาช่วยผู้เข้าอบรมของ Film Expo ทำหนังตามความถนัดของตน เพื่อนำผลงานออกสู่สาธารณะชนและจัดเป็นการประกวดให้กรรมการได้ตัดสินมอบรางวัลอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะมีการจัดงานใหญ่ขึ้นอีกทีในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 |