โปรดิวเซอร์ พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ เปิดเผยถึงแผนการข้างหน้าของตนเองในฐานะโปรดิวเซอร์ของหนังไทย และของบริษัทโมทีฟ + ในฐานะบริษัทผลิตภาพยนตร์ ตอนนี้ผมก็เป็นพนักงานประจำของโมทีฟ + ครับ ก็ไม่ได้ไปทำโปรดิวส์หนังให้คนอื่น ปีนี้โมทีฟ + วางแผนไว้ว่า จะนำหนังพี่อ็อฟ พงษ์พัฒน์ออกฉายหนึ่งเรื่อง แล้วก็พยายามที่จะเปิดให้ได้อีกหนึ่งเรื่อง ให้ปีนี้มีสักสองเรื่อง อีกเรื่องคงจะประมาณปลายปี มีการเลือกบทไว้แล้วนะครับ ก็คงจะถ่ายในเร็วๆ นี้ ปีนี้เราเน้นที่การพัฒนาบท บางครั้งเราถ่ายทำโดยบทยังไม่สมบูรณ์ ทำให้มีผลเสียมากกว่าผลดี เราก็เลยจะตั้งหลัก เซ็ตทีมเขียนบท เปิดสอนเขียนบทฟรี แล้วก็ทำบทให้แข็งแรง เราอยากจะทำหนังต่อเนื่องมากกว่านี้ อาจจะเห็นเราทำหนังปีละสามเรื่อง เพราะเราจะมีบทในมือเยอะ แล้วโมทีฟ + ก็อาจจะทำธุรกิจในการทำภาพยนตร์อื่นๆ นอกจากทำหนังไทยอย่างเดียว
แน่นอนว่าความหยุดนิ่งที่ผ่านมาของโมทีฟ + ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเล่นอย่าง เพลย์เซฟ (play safe) ระมัดระวังจากความล้มเหลวทางธุรกิจหรือเปล่า ถ้าจะว่าเพลย์เซฟก็เพลย์เซฟนะ แต่ไม่ใช่ในแง่ของการลงทุนต่ำ หรือทำหนังให้น้อยลง แต่จะเป็นในแง่ที่หนังแบบที่เราอยากทำ มันจะต้องเน้นที่บท หนังที่เราอยากทำอาจจะเป็นหนังดราม่า อาจจะเป็นหนังโรแมนติกคอเมอดี้ ซึ่งหนังเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบท เราก็เลยมาตั้งตนที่บทก่อน มีบทดีๆ สักสิบเรื่อง แล้วเลือกเรื่องไหนมาทำก็ได้ มันจะสบายใจกว่าอยู่ๆ ก็คิดจะทำหนังสักเรื่องขึ้นมา ตอนที่ไม่ได้ทำกับโมทีฟ พลัส ถ้าบทหนังไม่ดี ไม่พร้อม ก็จะไม่เปิด อย่างทำไอ้ฟัก ถ้าบทไม่พร้อมก็ยังไม่เปิดกล้อง มะหมาก็เหมือนกัน แต่พอมาอยู่สตูดิโอแบบนี้ มันมีเงื่อนไขที่จะต้องเปิดอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเราก็เลยพักไปก่อน พร้อมแล้วค่อยเดินอย่างต่อเนื่อง
พันธุ์ธัมม์ยอมรับว่า ในฐานะของโปรดิวเซอร์ประจำโมทีฟ + เขาแทบไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับหนังอิสระอีก เหลือก็แต่โปรเจ็คท์ที่เคยช่วยดำเนินการอย่าง Blood maple and the passion of the kid แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้แนวโน้มที่เขาจะกลับไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับงานอย่าง แสงศตวรรษ หรือ สุดเสน่หา อีก อย่างสำหรับ Blood Maple ที่เคยคุยกับแน็ท (ชาติชาย เกษนัส) เอาไว้ เคยช่วยเขาเรื่องหาเงินจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้เขาก็หาเงินมาได้แล้ว ได้ทุนจากเมืองไทยด้วย แล้วเขาก็ถ่ายไปแล้วนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นว่าเขาไปทำตายโหง ก็เดี๋ยวต้องมาคุยกัน ถ้าช่วยก็ในแง่หาเงินทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นโปรเจ็คท์ต่อเนื่องมา คงไม่ได้เปิดโปรเจ็คท์ใหม่ แต่ไม่แน่ สิ่งที่ดีตอนนี้คือมีกองทุนที่จะสนับสนุนหนังไทย เพราะฉะนั้นหนังที่แบบพี่เคยทำ หนังแบบอาร์ตเฮาส์ หนังอินดี้ที่สตูดิโอเมืองไทยไม่มีใครลงทุน มันก็อาจจะมีโอกาสมาเกิดอีกครั้ง แล้วหนังเหล่านี้ก็ต้องการเงินทุนเมืองนอกมา support เพราะฉะนั้นตรงนี้ อาจจะเป็นรูปแบบที่เราเข้าไปทำได้ปลายปี ซึ่งก็ต้องดูว่า ทิศทางความพร้อมต่างๆ มันมีมากแค่ไหน |