นอกจากการแจกรางวัล Asian Film Awards และการซื้อขายภาพยนตร์ในตลาดหนัง ส่วนสำคัญของงานภาพยนตร์ซึ่งจัดขึ้นที่ฮ่องกงในช่วงนี้ ก็ยังมีเทศกาลหนังอีกงานหนึ่ง โดยจะจัดถึงวันที่ 2 เมษายน ซึ่งนอกจากจะมีการฉายหนังแล้ว ยังมีการแจกรางวัลอีก ไม่ว่าจะเป็นรางวัลภาพยนตร์ดิจิตัลยอดเยี่ยม รางวัลสารคดี หรือรางวัลจากสมาพันธ์นักวิจารณ์นานาชาติ
ผมเลือกไปดู Triangle ผลงานของสามผู้กำกับระดับแนวหน้าของฮ่องกง จอห์นนี่ ตู้ฉีฟง,ริงโก้ แลม และฉีเคอะ แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็คือ โรงหนังที่ฉาย ซึ่งมีชื่อว่า Grand Cinema นั้นอยู่ไกลถึงฝั่งเกาลูน (การจัดงานส่วนใหญ่รวมถึงที่พักของผมจะอยู่ในย่านว่านไจ๋ ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งที่มีแม่น้ำกั้น และต้องไปมาหาสู่กันด้วยเส้นทางลอดใต้แม่น้ำ) แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เลยตัดสินใจลองไปดู การเดินทางจากว่านไจ๋ไปเกาลูนใช้เวลาไม่นาน แต่รถก็ติดนิดหน่อยตามประสาเมืองใหญ่ แท็กซี่จะเสียเงินประมาณ 80 เหรียญฮ่องกง (ค่อนข้างแพง) แต่ถ้าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน จะเสียเพียงแค่ 8 เหรียญกว่าๆ เท่านั้น คาดว่ารถเมล์คงราคาประมาณกัน
และนี่เป็นข้อเสียแรกที่ผมพบในเทศกาลนี้ คือโรงหนังอยู่ห่างไกลกับจุดศูนย์กลางของงานมากเกินไป เท่าที่เช็คดู โรงอื่นๆ อย่าง UA Time Square ก็อยู่อีกย่านหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควรเหมือนกัน จริงๆ เทศกาลหนังบ้านเราก็เคยเป็นแบบนี้ คือแยกฉายกันคนละที่ แต่ต่อมาก็ฉายแค่ที่หนึ่งที่ใดไปเลย ผมชอบแบบหลังนี้มากกว่า เพราะว่าเดินทางสะดวก และสามารถเลือกที่จะดูหนังเรื่องที่อยากดูได้ง่ายกว่า
โรงหนังของเขาอยู่ในห้าง ซึ่งห้างที่ว่าเหมือนกับสยามพารากอนบ้านเรา แต่ค่อนข้างโล่งกว่า คนเดินไปมาน้อยกว่า ส่วนโรงหนังก็ไม่ต่างอะไรกับมัลติเพล็กซ์บ้านเรา คนให้ความสนใจมาดูหนังในเทศกาลจำนวนหนึ่ง อัตราส่วนของคนต่างชาติกับคนฮ่องกงคือ 50/50 แต่ช่วงที่ผมดูฉายแต่หนังจีน เลยไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นหนังชาติอื่น คนฮ่องกงจะมาดูมากน้อยแค่ไหน
ระหว่างรอดูหนัง หันไปมองรอบๆ ก็พบว่า เขาก็โปรโมตงานเทศกาลหนังในระดับที่น่าพอใจ มีบอร์ดที่ระบุรอบฉาย มีจอทีวีฉายตัวอย่างของหนังในเทศกาล มีการนำโปสเตอร์ของหนังที่อยู่ในสายประกวด Asian Film Award มาจัดวางไว้อย่างสวยงาม เหลือบไปเหลือบมาก็ไปเห็นโปสเตอร์ ช็อคโกแล็ต ติดไว้รอเข้าฉายในเดือนเมษายน ส่วนการฉายหนังก็ราบรื่น ไม่มีสะดุดฟิล์มขาดใดๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไปดู ก็ได้อาศัยทางพี่จุ๊ก (อาทิตย์ อัสสรัตน์) และพี่ทองดี โปรดิวเซอร์ ติดสอยห้อยตามไปดู Wonderful Town หากเดินทางไปเพียงลำพังไม่พ้นต้องเสียเงินอีกไม่น้อยแน่ๆ
ก่อนจะออกไปดู ผมเปิดเจอหนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจ จากหนังสือพิมพ์ The Daily In Hong Kong ผลิตโดย The Hollywood Reporter เพื่อออกในเทศกาลโดยเฉพาะ ฉบับวันที่ 2 นักวิจารณ์ที่ชื่อแม็กกี้ ลี ได้เขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ว่า หนังนำเสนอภาพสวรรค์ที่ล่มสลาย ด้วยดนตรีที่มีจิตวิญญาณและภาพที่มีพลัง นี่เป็นงานที่เทศกาลหนังที่สนใจหนังอาร์ตเอเซียไม่ควรมองข้าม ผู้กำกับดูเหมือนจะไม่ประนีประนอมต่อคนดูหนังทั่วไปเอาเสียเลย และอาจจะเป็นยานอนหลับสำหรับพวกเขาเหล่านั้น มันเป็นหนังที่ไม่สามารถเล่าเรื่องย่อได้เพราะจะบั่นทอนความเป็นบทกวีของมัน แม็กกี้ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่หนังถ่ายทำด้วย HD (High Definition) ด้วยว่าให้สีที่ออกโทนฟ้าเทา ซึ่งเข้ากันดีกับโลกไร้ชีวิตที่ได้ถูกนำเสนอเอาไว้
(ย่อหน้าต่อไปจะเปิดเผยเนื้อเรื่อง หากไม่อยากทราบแนะนำให้ข้ามไปก่อน)
ส่วนสำหรับการฉายในวันนี้ มีคนสนใจดูประมาณร้อยกว่าคน หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งของที่นั่งทั้งหมดนิดหน่อย แต่ไม่มีใครลุกออกไประหว่างการฉายเลย เมื่อหนังจบแล้วก็มี Q&A เล็กน้อย ส่วนใหญ่คำถามของผู้ชม (ซึ่งโดยมากเป็นนักศึกษาและคนวัยทำงานทั่วๆไป)มีก็คือ ทำไมตัวน้องชายนางเอกถึงต้องฆ่าพระเอก? ในช่วงท้ายเรื่องพระเอกคุยโทรศัพท์กับใคร? เป็นคำถามในเชิงความเข้าใจต่อตัวหนังเสียมากกว่า ซึ่งคุณอาทิตย์ได้ชี้แจงแก่คนดูว่า เรื่องนี้สุดท้ายก็แล้วแต่คนดูแต่ละคนจะตีความ ตัวผู้กำกับเชื่อว่าเป็นเพราะคนที่มาดูส่วนใหญ่เคยชินกับการดูหนังที่มีเหตุและผลมารองรับเรื่องตลอด
แอนดี้ พนักงานบริษัทหญิงชาวฮ่องกง พูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า เธอคิดว่านี่เป็นหนังรัก ที่มีฉากหลังเป็นหายนะจากสึนามิที่มีความเศร้าแฝงอยู่ในเรื่อง โดยอาศัยส่วนผสมต่างๆ กันไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ การตัดต่อ หรือดนตรีประกอบมาช่วยเสริมสร้างอารมณ์ของตัวหนังได้เป็นอย่างดี
นวพล ธำรงค์รัตนฤทธิ์ นักเขียนและนักทำหนังอิสระ ที่บังเอิญไปเที่ยวฮ่องกงพอดีเลยแวะมาดูหนังเรื่องนี้ กล่าวว่า ผมได้ดู มอเตอร์ไซค์ ของพี่จุ๊กเมื่อนานมาแล้ว ก่อนมาดูก็นึกไม่ออกเลยว่าเขาทำหนังยาวแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง ดูออกมาจริงๆ แล้วผมว่ามันไม่ได้ดูยากขนาดพี่เจ้ย(อภิชาติพงษ์) ไม่ได้ทดลองสุดๆ ขนาดนั้น แต่ว่าจังหวะมันช้าเฉยๆ โดยรวมผมว่าลงตัวนะ ชอบพวกเรื่องสถาปัตย์ พวกบ้านร้างต่างๆ ผมว่าเข้าใช้ประโยชน์จากตรงนั้นเยอะพอสมควร
ส่วนตัวคิดว่ารอบนี้คนดูไม่เยอะเท่าที่ควร อาจจะเพราะหนังเรื่องนี้ยังถือว่าเงียบๆ อยู่สำหรับคนฮ่องกง ที่ไม่ได้ให้การสนใจหนังที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้มากเฉกเช่นคนในยุโรป |