สำหรับบางคน วันวิสาขบูชาปีนี้ (19 พ.ค.)ไม่มีอะไรมากไปกว่าวันที่ฝนตกฟ้าครึ้มอีกวันหนึ่ง แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ที่โรงภาพยนตร์เฮาส์ อาร์ซีเอ เด็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นตัวเองบนจอ ในหนังสารคดีที่จะเล่าเรื่องของพวกเขา เด็กๆ เหล่านี้คือเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และเป็นสมาชิกของมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง หรือ wishing well foundation ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยสานฝันของเด็กเหล่านี้ให้กลายเป็นจริง โดยทางมูลนิธิได้สนับสนุนคนทำหนังสารคดีที่ชื่อ พัฒนะ จิรวงศ์ ที่เกิดความสนใจในเรื่องของมูลนิธิและเด็กในโครงการ และติดต่อขอเข้ามาถ่ายทำเพื่อนำเสนอเรื่องราวบางอย่างที่กระทบใจเขา
|
พัฒนะ จิรวงศ์เคยทำสารคดีมาหลายเรื่อง และได้รับความสนใจจากทั้งในและต่างประเทศ อย่างเช่นเรื่อง สุทธิ์ และ Tear เขายังเคยเป็นคนไทยที่ได้รับเลือกให้ไปทำหนังที่เกาหลีในโครงการ One man band project มาแล้ว พัฒนะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสารคดีเรื่องใหม่ของเขาว่า วันหนึ่งผมฟังวิทยุ และในวิทยุเขาพูดถึงมูลนิธินี้ โดยแนวคิดน่าสนใจ เลยรู้สึกอยากเข้าไปดูว่า เออ เขาทำกันยังไง หาเบอร์ทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็โทรไป ก็ไปแนะนำตัวกับเขาว่าเป็นคนทำหนังสั้น สนใจอยากดูและเขาไปถ่ายสารคดี เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปคุย ทุกอย่างก็ราบรื่นดี พัฒนะจึงมีโอกาสได้เข้าไปคลุกคลีกับเด็กๆ
ตอนแรกที่เขาไปกับตอนที่เริ่มถ่ายทำ ความรู้สึกมันต่างกัน พัฒนะเล่าต่อ ผมคิดว่าเป็นคนทำหนัง เข้าไปเพื่อถ่ายสารคดี แต่พอเข้าไปแล้ว ตัวเราเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาสาสมัคร เพียงแต่ว่าเป็นอาสาสมัครที่มีกล้อง เพื่อจะบันทึก เวลาไปเยี่ยมใครก็ถ่ายเขาไว้ ถึงแม้จะเหมาทุกตำแหน่ง ทั้งกำกับและถ่ายภาพเองตามประสางานทุนต่ำ พัฒนะยอมรับว่ารู้สึกสนุกระหว่างถ่ายทำ ไม่ค่อยเครียดหรืออะไรเท่าไหร่ |
เพราะเป็นงานที่ใช้เพียงกล้องตัวเล็กๆ และไม่ได้มีทีมงานใหญ่โต อยู่กับเด็ก ความเป็นเด็กก็ทำให้เขาไม่ค่อยเครียด เว้นแต่ช่วงที่รู้ว่าเด็กคนไหนอาการหนัก เขาก็จะเศร้าบ้าง จนถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าถ่ายเยอะแล้ว พัฒนาก็เอามาตัดฟุตเตจมาตัดต่อ ออกมาเป็นสารคดีความยาวประมาณ 85 นาที
สารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องของเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งแบบต่างๆ 5 คน เล่าถึงวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา มีทั้งเรื่องสนุกประสาเด็กๆ และเรื่องเศร้าจากความเจ็บป่วย รวมถึงความปรารถนาต่างๆ โดยเฉพาะความอยากไปทะเล โดยทางมูลนิธิได้ช่วยเหลือในการประสานงาน และอนุญาตให้ติดตามไปถ่ายทำ ส่วนภาพยนตร์ ชูใจ ได้ช่วยเหลือในด้านการดำเนินงานอื่น ๆ เลยทำให้หนังสารคดีเรื่องนี้เป็นผลงานของกลุ่มอีกด้วย
เมื่อถึงคราวที่จะหาทางจะฉาย พัฒนาก็ลองติดต่อดูหลายที่ ติดต่อไปติดต่อมา ก็ได้ทางเฮาส์ช่วย พัฒนะอธิบายไว้ว่า พอดีทางโรงเฮาส์เขาอนุเคราะห์ให้โรงหนังฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย ผมก็ไปบอกทางมูลนิธิ เขาก็ขอจัดฉายรอบนี้ขอบคุณสปอนเซอร์ ขอบคุณทุกคนที่เขามาช่วยงานของมูลนิธิมาโดยตลอด ให้มาพบปะอีกครั้ง และการบริจาคเงินก็เพื่อจะได้นำเงินไปใช้ในกิจการอื่นๆ ต่อๆ ไป
ต่อจากนี้ พัฒนะกล่าวว่ายังไม่มีกำหนดฉายที่ไหน เพราะว่า อยากจะฉายเพื่อหาเงินเข้ามูลนิธิ คือที่คุยกับทางมูลนิธิไว้ คือถ้าไม่ฉายในงานประกวดก็จัดเป็นรอบการกุศล ถ้าฉายตามโรงอย่างพวกลิโด้ หรืออะไร รายได้ส่วนหนึ่งก็แบ่งให้โรงเขา แต่เมื่อหักแล้วเราก็อยากนำเข้ามูลนิธิทั้งหมด สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะชม ก็ลองติดตามข่าวคราวจากเทศกาลหนังต่างๆ ในเมืองไทยดูนะครับ เพราะผู้กำกับและผู้เกี่ยวข้องตั้งใจไม่ให้สารคดีเรื่องนี้มาเพียงสั้นๆ แล้วเงียบหายไปอย่างแน่นอน |