กะทิ รับบทโดย น้องพลอย-ภัสสร คงมีสุข
เด็กหญิงวัย 9 ปี ผูกพันกับแม่จากสิ่งต่าง ๆ ที่แม่ได้เตรียมไว้ให้ แม้จะแยกกันอยู่ตั้งแต่ 5 ขวบ กะทิเป็นเด็กช่างคิดกว่าวัยและเติบโตมากับตาและยาย นิสัยร่าเริงตามประสาเด็ก มีโลกทัศน์ในเชิงบวก และกล้าหาญเมื่อถึงวันที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของเธอ
ตอนแรก ๆ หนูไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือค่ะ (หัวเราะ) แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วก็รู้สึกสนุก อ่านแล้วรู้สึกประทับใจ สนุกดีค่ะ หนูว่ามันมีเศร้าแล้วก็มีสนุกด้วย ก็รู้สึกดีใจค่ะที่ได้เล่น ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ ตอนแรกไปแคสแล้วพี่เค้าบอกว่าเทปที่ไปแคสมันไม่มีเสียง ก็เลยต้องกลับไปแคสใหม่อีกรอบค่ะ แล้วก็ตกลงเรื่องตัดผมด้วย ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองจะได้หรือเปล่า แต่คิดว่าตัวเองไม่ได้แน่ ๆ ก็เลยตกลง (หัวเราะ) แต่พอรู้ว่าได้ ก็ดีใจค่ะ ก็เลยต้องตัดผมด้วย ตอนแรก ๆ ที่เห็นทรงผมใหม่ก็หัวเราะตัวเองค่ะ เพราะว่ามันตลก มันไม่เคยตัดหน้าม้าเต่อน่ะค่ะ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เข้ากับหน้าตัวเองเหมือนกันค่ะ
ฉากที่อยู่บนชายหาด คือกะทิเขาร้องไห้แบบว่าเสียใจเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ แต่ไม่อยากให้คนอื่นเขาเห็น กะทิก็เลยวิ่ง คือไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองร้องไห้ พยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ให้มากที่สุดค่ะ แล้วคือทนไม่ได้แล้วจริง ๆ เป็นครั้งแรกที่กะทิเขาร้องไห้ได้เยอะขนาดนี้คือตอนร้องไห้แล้ววิ่ง พี่เจนเขาให้ปล่อยอารมณ์ ให้ปล่อยเสียงดัง ปล่อยอย่างที่หนูเคยทำ พี่เจนเป็นคนสอน พี่เจนเขาเป็นคนตะโกนเสียงดังเลยร้องเลยๆ เพราะเขาบอกว่าให้ร้องไห้ดัง ๆ กว่านี้อีก (หัวเราะ) ตอนนั้นคิดถึงเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ของเรา คิดว่าถ้าคุณแม่เราในเรื่องเป็นอย่างนี้จริง ๆ ก็คงจะเสียใจ ก็คิดอย่างงี้ค่ะ ก็เลยร้องไห้ แล้วมีพี่ทีมงานทุกคนเขาก็ช่วยด้วย เขาบอกว่าน้องพลอยค่อย ๆ นะ ใจเย็น ๆ เขาก็ทำให้หนูร้องไห้ได้เร็วกว่าเดิมด้วย ไม่ได้เร่งด้วยค่ะ เพราะว่าถ้ารีบร้อนจะไม่เป็นธรรมชาติค่ะ
ผู้กำกับเจนไวย์ให้เหตุผลที่เลือกน้องพลอย : น้องพลอย ภัสสร คงมีสุข ที่ได้รับเลือกมาเล่นเป็น หนูน้อยกะทิ เนี่ยนะครับ นอกจากความน่ารักตาโตแป๋วแหววกับผมทรงม้าเต่อที่ต้องฮิตแน่ ๆ แล้วเนี่ย น้องพลอยยังมีความสามารถทางการแสดงสูง มีความเป็นธรรมชาติของเด็ก ให้การแสดงที่ไม่ดูเหมือนผู้ใหญ่จนเกินไปทั้งอารมณ์ดราม่าและสนุกสนาน เค้าจะมีความเป็นธรรมชาติ พอเล่นร้องไห้อะไรแล้ว ก็ยังกลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับเป็นเด็กยิ้มร่าเริง ขี้เล่นเหมือนเด็กทั่วไป เค้าสามารถเป็นตัวกะทิได้จริง ๆ ผมยืนยันได้เลยว่า การแสดงของน้องพลอยในเรื่องนี้เนี่ย เป็นการแสดงที่เกิดขึ้นโดยความสามารถของน้องเค้าล้วน ๆ เลยครับ ผมก็แค่สอนให้เขาแสดงออกถึงความรู้สึกต่าง ๆ ตามอารมณ์ของเนื้อเรื่อง แล้วถ้าเรารู้สึกว่ามันมากไปน้อยไป เราค่อยบอกว่ามันควรจะลดหรือเพิ่มอะไรเข้าไป เค้าก็จะเข้าใจ น้องพลอยจะเป็นเด็กที่ฉลาด เราพูดคุยเหมือนกับผู้ใหญ่คุยกัน ซึ่งเขาก็จะตั้งใจฟังแล้วก็กลับไปทำความเข้าใจ แล้วมันน่าทึ่งคืออย่างการแสดงนี่คือเขาไม่เคยลืมบทเลย พิสูจน์ได้ว่าเขามีความจำค่อนข้างดี แล้วก็มีสมองในการที่จะคิดไตร่ตรองอะไรอยู่แล้ว แล้วเราก็ค่อย ๆ เติมในสิ่งที่เขาขาด ลดสิ่งที่เขาเกินก็แค่นั้นเองครับ ผมว่าการแสดงของน้องพลอยในเรื่องนี้จะโดนใจผู้ชมส่วนใหญ่ได้แน่นอนครับ
แม่ (ณภัทร) รับบทโดย รัชนก แสงชูโต
ทนายสาว หลังจากหย่าขาดจากสามีแล้ว เธอจึงเลี้ยงลูกตามลำพังท่ามกลางครอบครัวและเพื่อนที่คอยเป็นกำลังใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยหนักและไม่อาจดูแลลูกได้ จึงฝากลูกไว้กับพ่อแม่ และใช้เวลาที่เหลือเตรียมทุกสิ่งไว้ให้ลูกก่อนก่อนตัวเองต้องจากไป
ตอนแรกก็กลัว ๆ ค่ะ เพราะไม่ได้เล่นหนังมานานมาก จะเล่นได้เหรอ คือเมื่ออ่านบทแล้วก็อยากเล่นมาก แต่มันมีอีกคำถามหนึ่งตามมาว่าจะเล่นได้มั้ยอะไรอย่างนี้ค่ะ นานมาก ๆ ค่ะ ไม่ได้เล่นหนังมาเป็น 10 ปี ความรู้สึกคือมันต่างกันมาก จำได้แค่ว่าพอถ่ายหนังแต่ละทีในสมัยก่อนเนี่ย มันนานมากแต่ละซีนแต่ละเทค แล้วก็ไม่ได้ใช้เสียงจริงด้วยเล่นแต่หนังพากย์เสียง หูย...ดูเก่ายังไงไม่รู้นะคะ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้สมัยนี้ก็รู้สึกว่าทีมงานมีความพร้อมมากขึ้น ทำงานเร็วมากขึ้นแล้วทำงานค่อนข้างละเอียดมาก ๆ ค่ะกับกองถ่ายนี้
กับหนังสือเล่มนี้ ตอนแรกเคยได้ยินชื่อนะคะ เค้าพูดกันว่าหนังสือเล่มนี้ดี แต่แค่ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน แต่ตอนหลังก็หามาอ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกเศร้าค่ะเศร้า เศร้าเพราะว่าเป็นคนมีลูกแล้ว ก็จะรู้สึกอะไรตรงนี้ได้ง่ายมาก อินมาก ๆ ค่ะ
ตา (พิทักษ์) รับบทโดย สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์
อดีตทนายนักเรียนนอก ที่หันหลังให้กับชีวิตเมืองกรุง และย้ายกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในอยุธยากับภรรยาและกะทิ-หลานสาว ที่ลูกสาวคนเดียวฝากไว้ในความดูแล ทุกนาทีมีค่าเมื่อต้องประคับประคองชีวิตหนึ่งของเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มต้นให้ออกก้าวเดิน
พูดอย่างไม่อายนะครับว่า ดีใจครับ ที่ได้มารับบทที่เค้ามองเห็นความสำคัญ หลายท่านที่เคยชมการแสดงของผมเนี่ย ผมจะเล่นได้ทุกบท แม้กระทั่งเป็นพระเอก เป็นผู้ร้าย เป็นตัวโกง เป็นตัวตลก ผมเล่นมาแล้วทั้งนั้น แต่เมื่อผู้กำกับเค้าฝังใจ รวมทั้งได้พบกับคุณงามพรรณเนี่ย เค้ามีความประทับใจในตัวผมในเรื่องบทบาทและเค้าเจาะจงมาเลือกผมเป็นคนแรกเลยเนี่ย มันเหมือนผมได้รับรางวัลเป็นขั้นต้นสำหรับการได้มาเล่นหนังเรื่องนี้
ประทับใจมากที่สุดเลยจริง ๆ คือฉากที่คุณงามพรรณบอกว่า วันของตานั่นน่ะ เป็นวันที่ทุกคนพูดได้เต็มปากว่าเต็มที่ วันนั้นถ้าหากว่าหนังเรื่องนี้จะมีการให้ตุ๊กตาทองหรือรางวัลกับใครสักคนหนึ่ง เขาจะต้องเอาซีนนั้นแล้วจะให้ใครดี เพราะทุกคนเต็มที่ คนบางคนอาจจะเคยโกหก คนบางคนอาจจะร่าเริง คนบางคนอาจจะแสดงความดีใจ แต่วันนั้นเราถูกบังคับให้ต้องดีใจ เศร้าใจ ให้ต้องโกหก ให้หัวเราะ ในขณะที่เราไม่เต็มใจ ค่อนข้างยากนะสำหรับนักแสดง ต้องถือว่ายากมาก ๆ เลย พอผ่านแล้วทุกคนก็ไปแอบเช็ดน้ำตาทั้งนั้น
ยาย (ลัดดา) รับบทโดย จารุวรรณ ปัญโญภาส
อดีตเลขานายใหญ่โรงแรมห้าดาว ยายของกะทิที่พอใจกับชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้มของลัดดาหายไปเมื่อรับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และภาระความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูหลานสาวคนเดียว ทำให้ต้องใช้สติในการตัดสินใจ
บทคุณยายในเรื่องก็เหมือนชีวิตจริงค่ะ ก็ชอบทำอาหารให้ลูกให้หลานกิน ชอบทำอาหารมาก ชอบดูแลคนในครอบครัว แต่มากองนี้ก็ไม่เหมือนมาทำงานนะ เหมือนมาเที่ยวมากกว่า สนุกค่ะทำงานไม่เหนื่อยเลย สนุกมาก แล้วเด็ก ๆ ก็น่ารักมากในกอง ไม่มีอะไรหนักใจเลยแล้วนักแสดงก็น่ารัก มีกันไม่กี่ตัว แล้วเราก็สนิทสนมกันมาทั้งนั้นเลยค่ะ
แล้วเด็กกะทิก็น่ารัก นิดเดียวเค้าก็รู้ละ แนะนิดเดียวเค้าก็ทำได้ละ เก่ง อ่อนหวาน เป็นเด็กอดทนมากค่ะ
หมิว (ลลิตา) เค้าก็แซวค่ะ เค้าก็บอกว่าเล่นหนังอินเตอร์เลยนะเนี่ย หนังสือเรื่องนี้เขาได้ซีไรต์แล้วก็ดังมาก ดังไปหลายประเทศ หมิวเค้าก็รู้ไงค่ะ ก็พูดล้อเล่นกับแม่อยู่เรื่อย ๆ ว่าเล่นทั้งทีเล่นอินเตอร์เลยนะ ดังกว่าลูกอีก (หัวเราะ)
น้าฎา (ชฎา) รับบทโดย เข็มอัปสร สิริสุขะ
หญิงสาวผู้เป็นเลขาฯ ให้ณภัทร และกลายเป็นมือขวาในทุกเรื่องให้เธอจนถึงวาระสุดท้าย แม้จะเสียใจเมื่อรู้ว่าณภัทรป่วยหนัก แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอได้รู้จักความเข้มแข็ง ความเสียสละ และรักแท้ที่แม่มีให้ลูก
เธอไม่อาจห้ามใจผูกพันกับ กันต์-เพื่อนรุ่นน้องของณภัทรได้ และรู้ว่ามีโอกาสน้อยเหลือเกินที่เขาจะมองมา แต่นั่นก็เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอที่ได้ใกล้ชิดเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อนนะคะ ก็รู้สึกประทับใจค่ะ เนื้อเรื่องมันน่ารัก และก็เป็นความผูกพันของแม่กับลูก แล้วในตัวหนังสือเนี่ยเขาก็เล่าเหมือนทำให้เราอยากรู้ว่าแม่หายไปไหน แม่มีเหตุผลอะไรที่ทิ้งให้กะทิอยู่กับตากับยาย เป็นหนังสือที่อ่านจบเร็วมาก เพราะด้วยความที่มันอ่านแล้วก็อยากที่จะติดตาม แล้วมันก็ซึ้งใจด้วยค่ะ อ่านแล้วก็ร้องไห้
หนังไทยไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมา ก็เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากให้มีหนังแนวนี้ออกมาเยอะ ๆ ค่ะ จริง ๆ แล้วชอบหนังที่มันไม่ต้องใหญ่มาก ชอบที่มันมีเรื่องของจิตใจเรื่องของความสัมพันธ์ในตัวละครของเรื่อง มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้ามันจะมีแนวนี้ออกมาหรือมีออกมาอีกเรื่อยๆ มันก็เป็นทางเลือกให้คนไทยได้ดูหนังไทยในหลาย ๆ มุมนะคะ คนดูก็จะได้เรื่องของความอบอุ่น เรียบง่าย ความสดใสของกะทิและของครอบครัวกะทิ และเรื่องของความรักแม่ลูก การเสียสละอันยิ่งอันยิ่งใหญ่ของแม่ ทำให้เห็นว่าเด็กคนหนึ่งเขารับมือกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่มันยังไม่ควรจะมาถึงในชีวิตเร็วขนาดนี้ เขาทำได้ยังไงและเขาทำได้ดีแค่ไหน และบวกกับภาพและบรรยากาศการใช้ชีวิตสไตล์ไทย ๆ ต่างจังหวัด มันก็ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศสมัยเด็ก ๆ ได้เหมือนกันค่ะ
ความน่าสนใจโดยรวมของหนังคือ มันเป็นเรื่องที่สะอาดสวยงาม ทุกอย่างสวยงามไปหมด แม้จะเล่าเรื่องของการสูญเสียคนสำคัญ คือจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องราวรันทดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สามารถเล่าออกมาได้ กินใจโดยที่มันซาบซึ้ง โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันใจร้ายเกินไปกับโลกใบนี้ มันเป็นความสวยงามค่ะ แล้วก็ดีใจที่มีคนสนใจที่ทำหนังสวย ๆ เรื่องราวสะอาด ๆ แบบนี้มาให้คนไทยได้เสพกัน
น้ากันต์ รับบทโดย กฤษฎา สุโกศล แคลปป์
หนุ่มโสด พูดน้อย เก็บตัว รุ่นน้องที่สนิทสนมกับณภัทรตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กันต์ชื่นชมในความเก่งและยกให้ณภัทรเป็นผู้หญิงในดวงใจ เขาพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวหากจะทำให้เพื่อนรุ่นพี่จากไปโดยสงบ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลกะทิ กันต์ไม่เคยมองหาหญิงคนไหน แม้จะมีสาวสวยน่ารักอยู่ใกล้ตัว จนเมื่อภาพความจริงคมชัดว่าชีวิตไม่ควรโดดเดี่ยวนัก เขาจึงถอนสายตาจากหญิงในดวงใจมายังหญิงใกล้ตัว
ตอนที่เล่นกับพลอยรู้สึกว่าพลอยไม่ได้มีไดอะล็อคพูดกับผมเลยครับ และเป็นการที่เราต้องช่วยพยุงเขามากกว่า กล่อมเขามากกว่าครับ เวลาพูดคุยกับเขาเวลานั้นเราพยายามไม่อยากให้เขาร้องไห้น่ะครับ เราก็ส่งแบบเปรียบเหมือนเราเป็นเด็กอายุเท่าเขาไม่ได้เป็นน้า-หลานจริง ๆ ผมอยากให้มันมีเวลาอินในอารมณ์มากกว่านั้น เพราะตอนนั้นเรากำลังถ่ายช่วงเวลา Magic Moment ช่วงระหว่าง 5-6 โมง เลย แบบประมาณว่าอยากได้อีกเทคโน่นนี่ ก็ต้องรีบ ๆ กันหน่อยครับ แต่ก็โอเคนะครับ
ฉากที่ผมประทับใจฉากหนึ่งก็เป็นฉากที่ได้เล่นกับเชอร์รี่เพราะว่าสามารถได้แสดงส่งให้กันและกัน เพราะว่าในเรื่องผมมีแค่ 2 ฉากที่สามารถส่งอารมณ์กันและกันมีฉากนี้กับเชอร์รี่ และฉากที่เข้ากับน้องพลอย ส่วนอื่นก็จะเป็นฉากที่รวมครอบครัวซึ่งนั่นก็เป็นอีกฉากที่ผมชอบ เพราะเป็นฉากหนึ่งที่ทุกคนอยู่ด้วยกันที่บ้านหน้าทะเล และเป็นฉากที่เราทานอาหารด้วยกัน แล้วก็...สำหรับนักแสดงเนี่ยเป็นฉากแรกที่ทุกคนอยู่ด้วยกันและก็ได้รู้จักกันและกัน มันมี Spirit มันได้ Spirit ฉากนั้นผมก็ประทับใจ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย
ที่ทุกคนจะได้รับกับหนังเรื่องนี้ก็คือว่า เราจะทราบว่า สุดท้ายครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจว่าตอนที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ ภรรยาผมเพิ่งคลอดลูกชายผมพอดี มันเป็นส่วนหนึ่งที่ผมอยากเล่นด้วยนะ มันทำให้ผมรู้ว่าแต่ละคาแร็คเตอร์ในหนังมีปัญหาส่วนตัวเหมือนคนทั่วไปในชีวิต มันเป็นธรรมชาติที่เราต้องเห็นแก่ตัวหน่อย เพราะนี่คือชีวิต เราอยากทำสิ่งที่เราอยากทำ ตรงนี้มันทำให้เรารู้ว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดจริง ๆ เด็กคนนี้...ครอบครัวของกะทิทุกคนยอมเสียสละเพื่อเธอและเพื่อครอบครัวครับ
ลุงตอง : รับบทโดย ไมเคิล เชาวนาศัย
ลุงตอง (กลาง) ลุงของกะทิ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับณภัทรแม่ของกะทิ โดยนิสัยเป็นคนใจดี รักพี่น้องและพวกพ้องมาก ผูกพันกับณภัทรมาตั้งแต่เล็ก รักสวยรักงาม ชอบจัดดอกไม้เป็นพิเศษ เป็นคนมีอารมณ์ขันหยิกแกมหยอก แต่ลุงตองมีสายตาแหลมคมและมองโลกในมุมปรัชญาเสมอ
เรื่องขำ ๆ ก็มีอยู่ว่าเจอคุณเจน-ผู้กำกับบนรถไฟฟ้า เขาก็มาบอกว่าอยากจะให้ผมเล่นรับบทเป็นลุงตอง แล้วผมก็ดีใจตามประสาของผมน่ะนะครับ ถามเขาว่าจะให้ไปแคสเมื่อไหร่ เขาก็บอกว่า อ๋อ...ไม่ต้องหรอกเล่นได้เลย ตอนแรกก็มี Conflict กันเล็กน้อยครับ สมมติเราอ่านบทแล้วเนี่ยเราเป็นคนที่แสดงหนังหรือทำงานในวงการตรงนี้แล้ว เราก็จะมีความคิดของคาแร็คเตอร์ไปเป็นอย่างหนึ่งซึ่งเราจะเห็นได้จากลักษณะที่เราแสดงออกกันนะครับ แต่ว่านัยยะที่เราจะต้องมีสำนึกไว้คือว่า ผู้เขียนเขาอยากจะให้คาแร็คเตอร์นี้เป็นอย่างไร บุคคลเหล่านี้เขามีหลากหลายคาแร็คเตอร์ลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าถึงตอนนี้แล้วก็พยายามเอาสิ่งที่เป็นตัวของเราเองและที่ที่ผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์บทอยากให้เป็นมารวมกัน ซึ่งผมว่าเป็นอะไรที่สนุกทีเดียว เป็นบทที่น้อยมาก แต่ผมไม่ได้บ่นเลยนะ สนุกเสียอีกและก็ยากเสียอีก
คาดว่าควรจะได้รับการสนับสนุนมาก ๆ ไม่ควรจะบ่นว่าขาดทุน ไม่ควรจะบ่นว่าไม่ใช้สลิงแล้วทำไมไม่มีใครมาดู เพราะว่าจะทำหนังให้ดีได้ ไม่ต้องใช้สลิงก็ได้ฮะ คือหนังดราม่าอย่างนี้ผมว่าบ้านเราขาดมากเลย เหมือนเด็กที่ขาดอาหารน่ะ ได้กินแต่อาหารประเภทหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ผักเราก็ไม่ค่อยได้กินเรื่องนี้คือผัก ใช่ครับ มันอาจจะดูไม่ดี อาจจะดูไม่น่าทาน แต่ว่ามันดีสำหรับตัวคนดู ผมว่าคนดูควรจะต้องมาดูและคนดูควรจะต้องอ่านหนังสือด้วย พูดด้วยความสัตย์จริงว่า หนังสือมันไม่ได้หนาเลย ถ้าผมอ่านจบ ใคร ๆ ก็ต้องอ่านจบ บางกว่าการ์ตูนญี่ปุ่นอีก (หัวเราะ)
พี่ทอง รับบทโดย นิธิศ โค้วสกุล
เด็กวัด ผู้มีนิสัยชอบช่วยผู้อื่นโดยธรรมชาติและโดยการอบรมของหลวงลุง ทองกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกะทิโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาได้ช่วยชีวิตกะทิไว้ในเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เขารับกะทิเป็นน้องตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็น และความรู้สึกนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลย
เรื่องขำ ๆ ก็มีอยู่ว่าเจอคุณเจน-ผู้กำกับบนรถไฟฟ้า เขาก็มาบอกว่าอยากจะให้ผมเล่นรับบทเป็นลุงตอง แล้วผมก็ดีใจตามประสาของผมน่ะนะครับ ถามเขาว่าจะให้ไปแคสเมื่อไหร่ เขาก็บอกว่า อ๋อ...ไม่ต้องหรอกเล่นได้เลย ตอนแรกก็มี Conflict กันเล็กน้อยครับ สมมติเราอ่านบทแล้วเนี่ยเราเป็นคนที่แสดงหนังหรือทำงานในวงการตรงนี้แล้ว เราก็จะมีความคิดของคาแร็คเตอร์ไปเป็นอย่างหนึ่งซึ่งเราจะเห็นได้จากลักษณะที่เราแสดงออกกันนะครับ แต่ว่านัยยะที่เราจะต้องมีสำนึกไว้คือว่า ผู้เขียนเขาอยากจะให้คาแร็คเตอร์นี้เป็นอย่างไร บุคคลเหล่านี้เขามีหลากหลายคาแร็คเตอร์ลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าถึงตอนนี้แล้วก็พยายามเอาสิ่งที่เป็นตัวของเราเองและที่ที่ผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์บทอยากให้เป็นมารวมกัน ซึ่งผมว่าเป็นอะไรที่สนุกทีเดียว เป็นบทที่น้อยมาก แต่ผมไม่ได้บ่นเลยนะ สนุกเสียอีกและก็ยากเสียอีก
คาดว่าควรจะได้รับการสนับสนุนมาก ๆ ไม่ควรจะบ่นว่าขาดทุน ไม่ควรจะบ่นว่าไม่ใช้สลิงแล้วทำไมไม่มีใครมาดู เพราะว่าจะทำหนังให้ดีได้ ไม่ต้องใช้สลิงก็ได้ฮะ คือหนังดราม่าอย่างนี้ผมว่าบ้านเราขาดมากเลย เหมือนเด็กที่ขาดอาหารน่ะ ได้กินแต่อาหารประเภทหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ผักเราก็ไม่ค่อยได้กินเรื่องนี้คือผัก ใช่ครับ มันอาจจะดูไม่ดี อาจจะดูไม่น่าทาน แต่ว่ามันดีสำหรับตัวคนดู ผมว่าคนดูควรจะต้องมาดูและคนดูควรจะต้องอ่านหนังสือด้วย พูดด้วยความสัตย์จริงว่า หนังสือมันไม่ได้หนาเลย ถ้าผมอ่านจบ ใคร ๆ ก็ต้องอ่านจบ บางกว่าการ์ตูนญี่ปุ่นอีก (หัวเราะ) |