สนับสนุนโดย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม Supported by Office of Contemporary Art And Culture ,Ministry Of Culture

หน้าแรก
ข่าว
วิจารณ์
สัมภาษณ์
บทความพิเศษ
รายงานหนังไทยในเทศกาลหนังต่างๆ
รายชื่อหนังสือและบทความเกี่ยวกับหนังไทย
รายชื่อ ที่อยู่ หน่วยงาน
 
รายชื่อหนังเก่า
 
 
 
 

   
คงเดช จาตุรันต์รัศมี ย้ายค่าย ประเดิมสร้าง “ กอด ” กับ GTH
  6 กรกฎาคม 2550    
  ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล รายงาน
  LINK :หน้าแรกของ กอด
   
 

ผลงานกำกับลำดับที่สามของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (สยิว,เฉิ่ม) โดยเลือกที่จะย้ายมาสร้างหนังเรื่องนี้กับค่ายใหม่ หลังจากสองเรื่องแรกทำกับบาแรมยูและสหมงคลฟิล์มมาตลอด ในส่วนของ “ กอด ” จะดูแลการผลิตโดยบริษัท Joy Luck Club (ซึ่งควบคุมโดยชนะใจ ต้นไทรทอง อีกที) บริษัทลูกของ GTH ที่เคยดูแลการผลิตให้หนังอย่าง “ โกยเถอะโยม ” มาแล้ว

“ กอด ” เล่าเรื่องราวของชายที่มีสามแขน (แสดงโดย เกียรติกมล ล่าทา ผู้ชนะ academy fantasia ซีซั่น3) หนุ่มลำปางที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับกำลังใจจากแม่ แต่เมื่อแม่เสียไป เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนหลายๆ คน เขาจึงเลือกที่จะไปผ่าตัดแขนในกรุงเทพ และระหว่างทางเขาได้ช่วยเหลือหญิงสาวคนนึง (ศุภักษร ชัยมงคล,นางเอก “ คนเล่นของ ” ) และร่วมเดินทางไปด้วยกัน จนเกิดเป็นความรักเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจคนทั้งคู่ คงเดชอธิบายสั้นๆ ถึงแนวของหนังว่า “ เป็น Road Movie น่ะครับ เกี่ยวกับการเดินทางของตัวละคร ในนั้นก็จะมีการเรียนรู้ชีวิตไปด้วย เรียนรู้เรื่องความรักไปด้วย ”

คงเดชเล่าถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า “ มันเกิดมาจากผมมองหน้าตัวเองในกระจก แล้วมันเบื่อน่ะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนเป็นกันถ้าไม่หลงตัวเองมากไป มันจะต้องมีส่วนที่ตัวเองไม่ชอบในกระจก มันจะต้องมีความรู้สึกว่า จมูกไม่สวย หรือศึกว่าหน้าอ้วนหัวล้าน พอเอาเรื่องนี้มาคิดมากๆ ต่อ ก็กลายเป็นประเด็นที่ตัวเองรู้สึกว่าอยากทำเป็นหนังจังเลย เรามีความสุขในชีวิตอยู่หรือเปล่า?ในเมื่อเราเกลียดหน้าตัวเองในกระจก ลองคิดไปถึงเรื่องของคนที่มันมีอะไรบางอย่างเกินมาจากชาวบ้าน มันจะยังสามารถมีชีวิตที่มีความสุขอยู่ได้หรือเปล่า? ก็เลยเป็นที่มาของหนังเรื่องนี้ และด้วยประเด็นของเรื่อง การมีอยู่ไม่มีอยู่ ผมเลยอยากจะให้พระเอกเดินทางเยอะๆ เพื่อที่จะไปแสวงหาในสิ่งที่มันต้องการน่ะ แล้วจะทำให้มันมีความสุข ซึ่งมันอาจจะค้นพบความสุขด้วยหนทางอื่นก็ได้ แค่ตอบตัวเองให้ได้ว่าจริงๆ แล้วต้องการอะไรในชีวิต ”

คงเดชอธิบายเหตุผลในการเลือกนักแสดงนำหลักทั้งสองคนมาว่า เกียรติกมลหรือตุ้ยดูมีความเป็นพระเอกลิเก ติดดินแบบที่ชาวบ้านสามารถชอบได้ ส่วนศุภักษรหรือกระแต เริ่มจากเป็นสาวเชียงใหม่ตามที่บทระบุไว้ พูดเหนือได้ และสำหรับคงเดช เธอมีหลายอย่างในตัวที่น่าสนใจ และเขาเห็นว่าหลายอย่างนั้นมันตรงกับที่บทต้องการ

แล้วทำไมต้องให้ตัวละครพระเอกมีแขนที่สาม? คงเดชกล่าวว่าเพราะเขาชอบให้มีอะไรที่สังเกตได้ชัดในเรื่อง และอวัยวะอื่นคงไม่เหมาะเท่ากับแขน เขาลองวาดรูปดูแล้วก็เห็นว่าภาพมันน่าดู ก็เลยเป็นแขนที่สาม

กับคำถามที่ว่าหนังเรื่อง “ กอด ” นี้จะต่างจากเรื่องที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า จะตลาดขึ้นไหม? คงเดชได้ให้คำตอบเอาไว้ว่า “ ตลาดครับ ทุกเรื่องก็พยายามจะตลาดที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ จริงๆ แล้วไม่ค่อยได้คิดเรื่องพวกนี้นะครับ เวลาคิดก็จะมาจากคำถามที่มีอยู่ในหัว ทุกเรื่องเลยตั้งแต่สยิว,เฉิ่ม ไม่นับเรื่องที่เขียนให้คนอื่นนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรกับชีวิตอยู่ มีคำถามอะไรกับชีวิต ก็เขียนมันออกมา ระหว่างเขียนก็หาคำตอบให้ตัวเองไปด้วยน่ะครับ ไม่ค่อยคิดเรื่องตลาดไม่ตลาด ”

ถึงหลายๆ คนจะมองว่าคงเดชชอบทำหนังเรื่องราวเกี่ยวกับคนเล็กๆ แต่คงเดชมองว่า เรื่องระดับจุลภาคสามารถสะท้อนสู่สังคมมหภาคได้ “ ผมจะใส่ไปในบททุกคน คนจะเห็นหรือไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร เขาจะดูหนังแล้วสนุกกับมันไปอย่างเดียวก็ได้ จริงๆ อย่าง สยิว และเฉิ่ม ก็เป็นเรื่องของโลกที่หมุนไปพร้อมเทคโนโลยีกับสังคม รวมถึงการต่อสู่กับโลกในอุดมคติ และคนที่ชอบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ”

ส่วนเหตุผลในการย้ายมาสร้างหนังกับค่าย GTH แทนที่จะเป็นค่ายเก่าอย่างสหมงคลฟิล์มและบาแรมยู คงเดชได้อธิบายเอาไว้ว่า ตัวเขาเองนั่นถือได้ว่าเป็นฟรีแลนซ์ตั้งแต่แรก ไม่ได้เซ็นสัญญากับใคร “ แล้วที่ผ่านมา ผมก็จะเขียนบทให้หลายๆ ที่อยู่แล้วน่ะครับ เสร็จแล้วพอดีผมมารับเขียนบทโปรเจ็คท์นึงที่นี่ ระหว่างที่เขียนบทเนี่ย พี่เก้ง(จิระ มะลิกุล)เขาก็ถามว่า ของคงเดชมีเรื่องของตัวเองอะไรบ้างหรือเปล่า? ผมก็ตอบเขาไปว่า ก็มีอยู่สองสามเรื่องครับพี่ แต่ที่เป็นรูปเป็นร่างที่สุดเนี่ยมีอยู่อันนึง ก็ส่งไปให้แกอ่าน ปรากฎว่าแกชอบ แกก็บอกว่าเอามาพัฒนาให้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วเอามาทำกันดีกว่า แล้วการทำหนังบ้านเราเนี่ย แค่มีนายทุนเซย์เยสเนี่ย ก็ถือว่าเป็นบุญมากใช่ไหมฮ่ะ(หัวเราะ) ก็ทำเลยฮ่ะ ไม่ต้องคิดมาก ”

เมื่อถามไปว่าคิดที่จะทำหนังกับค่ายนี้ต่อไปหรือเปล่า? คงเดชได้ให้คำตอบว่า “ คืออย่างนี้ฮ่ะ ผมรู้สึกว่าจะเป็นบุญมากถ้าเราได้ทำหนังกับค่ายไหนก็ได้ เรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นว่า เอ๊ะ เราจะต้องผูกมัดกับค่ายหรือเปล่า? ทางค่ายเขาอยากจะผูกมัดกับเราหรือเปล่า? จริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอีกต่อไปนะฮ่ะ ถ้ามีเรื่องที่อยากทำ แล้วมีคนให้เราทำ เราก็ทำ ทำในแบบที่ยังเป็นเราอยู่ ไม่ถูกบิดเบือนมากน่ะครับ ”

“

 

บทสัมภาษณ์ผู้กำกับเพิ่มเดิม
ฝ่ายประชาสัมพันธ์จีทีเอช

เรื่องนี้เขียนบทเองด้วย มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร
มันเริ่มมาจากความรู้สึกไม่ชอบเวลามองหน้าตัวเองในกระจก ประมาณว่าทำไมไม่เกิดมาหน้าตาดีกว่านี้ มันเลยคิดไปถึงคนอื่นว่าคงต้องเคยเป็นเหมือนเราบ้าง ถ้าเป็นคนไม่หลงตัวเองจนเกินไปนะ ก็เลยคิดต่อว่าถึงเราจะไม่ชอบไอ้คนที่อยู่หน้ากระจก แต่เราชอบชีวิตมันหรือเปล่า มันเหมือนถามตัวเองว่าจริงๆแล้วชีวิตเราดีหรือเปล่า เลยอยากทำหนังที่ตั้งคำถามกับเรื่องนี้ขึ้นมา สำหรับคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี และก็พยา ยามทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่จริงๆแล้วชีวิตมันดีอยู่แล้วหรือเปล่า คำตอบในชีวิตมันคืออะไร หรือเพียงแค่ต้องการทำให้ตัวเองดูดีเท่านั้น

ดูจากงานที่ผ่านๆมา ค่อนข้างจะชอบเขียนบทออกแนวรักโรแมนติกหรือเปล่า
จริงๆผมเขียนให้คนอื่นมันเป็นโจทย์มาให้เขียนมากกว่า งานมันเข้ามาแบบนี้ แต่สิ่งที่เราสะ กิดใจมากว่าเรื่องรักเสมอคือเรื่องของชีวิต เวลาผมรับเขียนเรื่องไหนมันก็เป็นเรื่องของชีวิต โดยเฉพาะเป็นเรื่องของตัวเอง จริงๆแล้วมันเป็นหนังชีวิตมากกว่าหนังรักซะอีก คือไม่ได้ชอบเขียนหนังรักอะไรเป็นพิเศษ แต่ลึกๆเชื่อเสมอว่ารักมันเยียวยาชีวิต คือการมีชีวิตอยู่มันเป็นการแบกทุกข์ แต่รักมันมาเยียวยาให้เรารอดอยู่เสมอ  จริงๆแล้วตัวเองมักสนใจว่ามนุษย์เรามีชีวิตรอดด้วยอะไร ทุกครั้งที่เขียนบทหนัง มันก็เหมือนกับหาคำตอบให้ตัวเองไปด้วย แล้วทุกครั้งจบท้ายก็จบด้วยความรักทุกที สุดท้ายชีวิตก็รอดเพราะความรัก หรือไม่งั้นมันก็มีชีวิตอยู่รอดได้แต่ก็ไม่สุขนัก

ทำไม “ขวาน” ถึงต้องมีคาแร็คเตอร์ของคนที่มีแขนซ้ายสองข้าง
คือบางคนคงมีไม่ชอบตัวเองในบางส่วน อาจจะสิวเยอะเกินไป หัวล้าน พุงโย้ บางคนก็อาจทำเป็นไม่เห็นมัน
แต่ถ้าพระเอกเป็นคนที่แบบทำเป็นไม่เห็นไม่ได้เพราะมันใหญ่เหลือเกินมันแทงตา ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นส่วนเกินอะไรในร่างกายดี ซึ่งส่วนตัวเป็นคนชอบวาดรูป วาดการ์ตูน วาดโน่นวาดนี่แล้วก็เกิดวาดเป็นมนุษย์ที่มีแขนซ้ายสองข้างขึ้นมา พอเห็นแล้วรู้สึกอยากดู คือถ้าเป็นสามขาคงไม่น่าดู เลยออยากลองเขียนเกี่ยวกับคนแบบนี้ดู คือเราต้องการให้คนในเรื่องมีส่วนเกิน แล้วอยากที่จะจัดการชีวิตให้ลงตัว  แต่จริงๆแล้วสิ่งที่มีอยู่มันอาจจะโอเคแล้วหรือเปล่า มันเป็นเรื่องของส่วนเกินนั้นจริงๆหรือไม่ หรือจริงๆมันเป็นเรื่องของจิตใจ

แล้วคาแร็คเตอร์อีกคนคือ “นา” ทำไมถึงต้องมีส่วนเกินที่หน้าอก
คือต้องการให้ตัวละครหลักสองตัวที่ต้องมาเจอกันเป็นคนที่มีอะไรซักอย่างที่ไม่เกินก็ขาด เลยคิดถึงผู้หญิงที่
หน้าอกใหญ่ขึ้นมาเพราะถ้าพูดถึงผู้หญิง ขนาดของหน้าอกมันทำให้คนมองแต่ส่วนนี้ แล้วลืมมองว่าผู้หญิงคนนี้จริงๆเป็นไงกันแน่ แต่เราจะเซ็ตคาแร็คเตอร์ให้คนนี้เป็นคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี แต่ว่ายอมรับในสิ่งนี้ได้ ซึ่งแตกต่างจากพระเอกตรงที่พระเอกไม่ยอมรับ  

ตุ้ยกับกระแตหลังจากที่ผ่านการถ่ายทำมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ชอบครับ ผมเชื่อว่าการเลือกใครมาแต่ละคนมันจะทำให้คาแร็คเตอร์นั้นๆแตกต่างกันไป เพราะนี่คือ “ขวาน” แบบตุ้ยเล่น นี่คือ “นา” แบบกระแตเล่น คือการเขียนบทเองแล้วออกไปถ่ายทำเองมันบดซบตรงที่พอเราทำให้ตัวละครมันเจอเรื่องร้ายๆ และพอถ่ายไปเรื่อยๆเรารู้สึกว่ามันเป็นตัวละครนั้นแล้ว มันก็เหมือนเป็นส่วนนึงของเรา และพอมันเจอ

เรื่องร้ายๆ เราเหมือนใจจะขาด ถ่ายไปแล้วน้ำตาเล็ดไป แล้วก็คิดตลอดว่าทำ ไมเราให้มันเจอเรื่องร้ายๆอย่างนี้ มันรู้สึกหดหู่จัง เค้าทั้งสองคนแสดงได้ดีจนผมอินมาก

พูดถึงตุ้ยกับบทขวาน
ตุ้ยเป็นขวานในแบบที่เป็นตุ้ย ซึ่งได้ความติดดินของตุ้ย ความมีเสน่ห์แบบบ้านๆหน่อย ซึ่งมันมีตลอดทั้งในและนอกกล้องด้วย เลยทำให้ขวานมีท่าทีที่ดูสบายขึ้น ทำให้หนังดูสบายๆตามไปด้วย และอีกอย่างตุ้ยมีดวงตาที่เหมือนมีปัญหากับชีวิตด้วย แต่ก็ยังสามารถรับมือกับชีวิตได้

พูดถึงกระแตกับบทนา
หนึ่งเลยเค้ามีอาวุธตรงตามโจทย์ที่เราวางไว้ สองคือกระแตมีความรู้สึกเดียวกับนา คือคนจะชอบมองในความเซ็กซี่ของเค้าตลอด กระแตก็เลยรู้สึกว่าเป็นปมในใจซึ่งอันนี้มันดี มันทำให้เค้าอินกับตัวละครได้ง่าย ซึ่งจริงๆแล้วกระแตมีศักยภาพสูงกว่าที่คนเคยใช้มา แต่ไม่มีใครได้เห็นซักที เลยดีมากที่เราจะเป็นเจ้าแรกที่จะทำให้คนได้เห็น

สองคนนี้เล่นด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง
พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันมันมีเคมีที่ดี มันดูสบายๆกันทั้งคู่ เราอยากได้คู่ที่เป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นหนังโรดมูฟวี่ ไม่อยากได้คนที่ดูแปลกแยกจากชาวบ้านมาก สองคนนี้เค้าดูกลมกลืน ดูธรรมดาสามัญดี

มีอุปสรรคในการถ่ายทำบ้างหรือไม่
แปลกมากเลยที่เรื่องนี้ราบรื่นไม่มีอุปสรรคเลย ผมมีความสุขมากไม่เคยถ่ายหนังแล้วมีความสุขขนาดนี้ มันเป็นการเจอทีมงานชุดที่ดี ทุกคนมีความสุขกับมัน เต็มที่กับมัน แล้วก็อินกับมันกันทุกคน เลยทำให้เรารู้สึกดี ที่ถ่ายหนังผ่านๆมา ผมรู้สึกเหงามากเสมอ คือเราจะรู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียวในกอง คือเรารู้สึกกับเรื่องนี้ กับตัวละครเหล่านี้อยู่คนเดียว เวลาเศร้าก็เศร้าอยู่คนเดียว เรื่องนี้ไม่เหงา เหมือนมีเพื่อนมาร่วมคิด ทำให้บรรยากาศการถ่ายทำมีความสุข นักแสดงก็เต็มที่ทุกคน และแปลกมากว่าจะต้องเจอฝนหลายที ก็แคล้วคลาดตลอด เลยราบรื่น ได้ในสิ่งที่ต้องการตลอด ได้ฟิลสดๆ และได้สิ่งที่คาดไม่ถึงเยอะเลย

ในการถ่ายทำแขนซ้ายสองข้าง ยากง่ายอย่างไรบ้าง
ตอนแรกก็คุยกันว่าคงต้องทำทุกวิถีทาง ต้องมีทั้งเขียนซีจี  มีแขนม็อคอัพ มีสแตนอิน แต่ก็โชคดีที่ได้พี่โอซึ่ง
เป็นผู้จัดการตุ้ยมาเป็นแฮนด์ทาเล้นท์ให้โดยบังเอิญ เพราะเราดันไปเห็นแขนเค้า ซึ่งปรากฏว่ามีไซส์เดียวกัน สีผิวใกล้เคียงกันมาก กลายเป็นว่าการใช้พี่โอที่สนิทกับตุ้ยอยู่แล้วมาเป็นแฮนด์ทาเล้นท์ มันช่วยได้มาก ทำให้รู้จังหวะของกันและกัน ทำให้ตุ้ยสนุกกับการมีแขนที่สาม สนุกกับการเตี๊ยมกันว่าใครทำอะไร หยิบอะ ไร เลยทำให้ทำงานง่ายด้วย และพอถ่ายไปเรื่อยๆ โอมหัศจรรย์มาก คือสามารถซ่อนตัวเองได้ ในมุมที่ไม่น่าเชื่อโดยที่ไม่ต้องใส่ชุดด้วย แต่ก็ทำให้มีแขนออกมาแอ็คติ้งได้ คือเค้าสามารถเป็นแขนซ้ายข้างที่สองได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

เรื่องนี้ต้องการสื่ออะไรให้คนดู
จริงๆคำถามมันอยู่ในหนังอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของการดิ้นรนในการมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ เหมือนหนังที่ผ่านมาของผม เพียงแต่แต่ละเรื่องก็มีภาระกิจต่างกัน และสุดท้ายก็มาหาคำตอบว่าทำยังไงถึงจะมีความสุขกับชีวิต มนุษย์เราต้องการการยอมรับจากใครซักคน จะเป็นความรักก็ได้ คือคำตอบจริงๆไม่ได้อยู่ที่แขน 2 แขนหรือ 3 แขน

อยากให้พูดถึงตุ้ยกับกระแต
ตุ้ยเยี่ยม กระแตก็เยี่ยม อยากทำงานกับทั้งคู่อีก ถ้ามีโอกาสสงสัยได้เจอกันอีกแน่เลย ติดใจแล้ว มันเหมือน
ได้มาสนุกร่วมกัน เต็มที่กับสิ่งที่ทำ พอทำไปมันก็ไม่เหมือนทำงานเท่าไหร่ ตุ้ยเองก็มีศักยภาพให้ทำอะไรอีกเยอะ กระแตเองก็เหมือนกัน คือแน่นอนเราอยากได้สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งสองคนนี้ก็พร้อมที่จะทำให้เราได้ เต็มที่กับเรามาก และตุ้ยกับกระแต ถือเป็นเคมีที่ลงตัว น่ารักทั้งคู่ คือรู้สึกว่าการทำหนังเหมือนการไปใช้ชีวิต การที่เราได้ออกไปใช้ชีวิตกับคนที่เต็มที่ด้วยกันมันก็แฮปปี้

คำว่ากอดในความรู้สึกของคุณคงเดชคืออะไร
พี่ชอบคำนี้เพราะมันให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย ทำให้เรารู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยถ้ามีใครซักคนให้กอด มันเป็นการแสดงความรักที่ไม่มากไปน้อยไป มันกำลังดี แต่ทำให้เรารู้สึกได้ว่ามันปลอดภัยและมีใครซักคนยังรักเราอยู่

   
   

Everything you want to know about Thai film, Thai cinema
edited by Anchalee Chaiworaporn อัญชลี ชัยวรพร   designed by Nat  
COPYRIGHT 2004 http://www.thaicinema.org. All Rights Reserved. contact: ancha999 at gmail.com
By accessing and browsing the Site, you accept, without limitation or qualification, these copyrights.
If you do not agree to these copyrights, please do not use the Site.