สนับสนุนโดย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม Supported by Office of Contemporary Art And Culture ,Ministry Of Culture

หน้าแรก
ข่าว
วิจารณ์
สัมภาษณ์
บทความพิเศษ
รายงานหนังไทยในเทศกาลหนังต่างๆ
รายชื่อหนังสือและบทความเกี่ยวกับหนังไทย
รายชื่อ ที่อยู่ หน่วยงาน
 
รายชื่อหนังเก่า
 
 
 
 

   
มะหมา 4 ขาครับ
  LINK: เครดิตหนัง    เรื่องย่อ       ดาราสุนัข       ดารารับเชิญ (คน) และทีมดาราที่รับพากย์เสียงเป็นหมา
  แนะนำนักวิจารณ์รุ่นใหม่เฉพาะกิจ              เปิดตัวหนังรอบสื่อ มะหมา 4 ขาครับ
  สารบัญหน้านี้: 2 ผู้กำกับเปิดเผยเมื่อต้องมากำกับคุณหมา หมา
   
 

พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ (คนซ้ายมือจากภาพ)


การทำหนังเรื่องนี้ มันเหมือนเรากำลังทำในสิ่งที่คนอื่นเค้าคิดว่า “ บ้า” เพราะเป็น สิ่งที่ไม่เคยมีใครทำและไม่มีใครอยากทำ! แค่ทำกับ “ คน” ก็ยุ่งมากแล้ว แต่นี้ต้องทำเกี่ยวกับ มะหมาเกือบทั้งเรื่อง กว่า 3 ปีที่ทุ่มเท ที่ทั้งเครียด ลุ้นและบางครั้งคิดว่าจะทำไม่ได้แล้ว แต่พอได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งจากทีมงาน และมะหมา ที่พร้อมใจช่วยเหลือกัน เหมือนเป็น พลังสามัคคี เลยคิดว่า “ เอาวะ” เราต้องทำให้ได้ ต้องทำให้สำเร็จ พร้อมงัดวิชา

“ รวมกันเราอยู่ หมาหมู่เรารอด” ออกมาใช้ประลองยุทธ์สู้ศึกครั้งนี้

จริงๆ แล้วแกนหลักของเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากพ็อกเก็ตบุ๊คที่ชื่อ “ แก็งข้างถนน” ของคุณอ้อ ภาณุพล พลวรรณภา เป็นหนังสือภาพที่ถ่ายจากชีวิตของ หมาข้างถนน ที่กำลังจะข้ามถนน ซึ่งดูแปลกและน่าสนใจ ในครั้งแรกเลยคิดจะทำเป็นแอนิเมชั่น เพราะคิดว่าถ้าเอาหมามาแสดงจริงๆ คงไม่รอด แต่พอได้ทำเรื่อง “ ไอ้ฟัก” ในฉากที่ต้องตีหมา ให้ตาย ช่วงหนังออกฉาย ผมโดนชาวบ้านร้านตลาดด่าทั่วเมือง แทบเดินตลาดไม่ได้ หลงคิดไป ว่าผมเป็นนางอิจฉาในตัวละครตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเจ้าหมาดำในเรื่องมันเล่นได้น่าสงสาร เล่นเหมือนโดนตี โดนทำร้ายจริงๆ ที่สำคัญมันเล่นได้ทุรนทุรายเหมือนตายจริงซะด้วย จนใครต่อใคร คิดว่าผมฆ่าหมาจริง!!!

จากครั้งนั้นเองทำให้ผมกลับลำ ปิ๊งไอเดีย คิดเอาหมาจริงแสดงมันซะเลย ไม่ทำละ แอนิเมชั่น การ์ตงการ์ตูนอะไร เลยให้พี่ “ สมเกียรติ วิทุรานิช” เขียนบทให้ทันที ที่ต้องเป็น พี่เกียรติ เพราะเคยร่วมงานกันในไอ้ฟักมาแล้ว เรียกว่ารู้ทางกัน ปรับจูนกันง่าย และที่สำคัญ คนเขียนบทดีๆ มีน้อย และพี่เค้าเป็นส่วนหนึ่งในความน้อยนั้น พี่เค้าทำงานแบบค้นคว้า หาข้อมูล ลงรายละเอียดเยอะ และมีไวยากรณ์ทางภาพยนตร์สูง ทั้งหมดนี้ถ้าผมไม่เลือกพี่เกียรติ ก็ไม่รู้จะเลือกใครแล้ว!


มาถึงการถ่ายทำ ทำไมต้องกำกับ 2 คนนะเหรอครับ ในตอนแรกผมตั้งใจ จะไม่กำกับนะ เพราะจากเรื่องไอ้ฟัก ตอนนั้น ผมแทบไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย เลยคิดไว้ว่าจะให้ พี่ “ สมเกียรติ” กำกับ แต่ยังไม่บอกพี่เค้า เพราะอยากให้พี่เค้าอินกับบท คือกะให้บทที่เค้าเขียน มันถูกดูดซึมไปทั่วร่างกายเค้าซะก่อน เผื่อจะพูดตกลงกันได้ง่ายขึ้น 55 และแล้ว ก็เป็นดังคาดครับ แต่ด้วยความที่เป็นหนังมะหมา ต้องมีด้านการจัดการขั้นตอนต่างๆ เยอะแยะมากมายมากกว่าหนังทั่วไป ผมจึงต้องลงมาช่วยด้วยครับ เพราะถ้ากำกับคนเดียว คนนั้นต้องตายแน่ๆ หรือไม่คนคนนั้นก็ต้องเป็นซูเปอร์ฮีโร ที่มีพลังมหาศาล เสร็จสรรพ เลยกลายเป็นพี่สมเกียรติมีหน้าที่คิดไอเดีย บรรเจิดออกมาให้เต็มที่ ส่วนผมก็มีหน้าที่จัดการ ให้ไอเดียเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ สุดท้ายก็เลยกำกับ 2 คนดีกว่า

ขั้นตอนการถ่ายก็สุดๆ ละครับ กว่าจะถ่ายจริงได้ต้องทำงานกัน 3-4 รอบ เริ่มตั้งแต่ พอได้บทมา ก็มาให้คนเขียนสตอรี่บอร์ดให้เพื่อหามุมกล้อง จากนั้นต้องเอาไปปรึกษากับครูฝึกสุนัขว่าสามารถทำได้ตามนี้มั้ย ถ้าได้ก็ต้องเอากล้องดีวีลองไปถ่ายน้องมะหมาในสถานที่ จำลอง ให้ได้เหมือนทุกคัดทุกมุมตามที่เขียนในสตอรี่บอร์ด แล้วก็ต้องเอามาตัดต่อดูกันก่อนว่า ดูรู้เรื่องหรือไม่ ยัง... ยังไม่จบนะครับ จากนั้นก็ถึงคราวไปสถานที่จริง แต่ก็ยังไม่ได้ถ่ายจริง นะครับ ต้องลองไปซักซ้อมกันดูก่อนอีกที ถึงจะได้เริ่มถ่ายทำกันจริงๆ แค่คิดก็ไมเกรนขึ้นแล้วครับ! ขืนไม่ทำแบบนี้หากไปถ่ายทำกันเลยจริงๆ แล้วมุมกล้องไม่ได้ ต้องเปลี่ยนให้มะหมายืนสลับที่กัน และต้องเปลี่ยนจากยกขาซ้าย เป็นยกขาขวา นั่นก็ต้องกลับไปฝึกอีก 7 วันละครับ เพราะว่า ก่อนหน้านั้นมันถูกฝึกมาให้ยกขาซ้ายมาโดยตลอด คือถ้าถ่ายคนเรื่องแบบนี้คงไม่มีปัญหาแน่ แต่นี้เป็นหมาครับ มันถูกฝึกมาให้ทำเป็นทีละอย่าง เป็นไงครับ พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก ใช่มั้ยละครับ!?

เรียกว่าถ่าย 100 คิว ก็ทำกันแบบนี้อยู่เกือบครึ่งละครับ หลังจากนั้นพอรู้มุมกล้อง รู้ทางกัน เริ่มชำนาญแล้วก็สามารถตัดขั้นตอนลงมาได้ เหลือเพียงแค่ฝึกซ้อมมะหมาให้ได้ ตามที่ต้องการเท่านั้นครับ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายนะครับ ไม่ใช่ว่าสามารถจะฝึกได้ทีเดียว แล้วก็มาถ่ายทำกันยาวได้เลย มันต้องฝึกแล้วมาถ่าย แล้วก็ต้องหยุดเพื่อให้ฝึกของใหม่ และค่อยมาถ่าย คือต้องมีการพักกองเป็นระยะๆ เรียกว่าถ่าย 7 วัน ฝึก 2 อาทิตย์ แล้วกลับมาถ่าย 5 วัน กลับมาฝึกอีก 2 อาทิตย์ เป็นอย่างนี้ตลอดการถ่ายทำล่ะครับ เพราะมะหมามันจำอะไรไม่ได้เยอะเท่าคนนะครับ อย่าลืม นั่นละครับที่มาของการถ่ายทำ ยาวนานถึง 1 ปีเต็มๆ !



จะว่าเข็ดมั้ยกับการทำหนังสัตว์ เข็ดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่รู้คือรู้สึกว่า “ พอแล้ว” ครับ เพราะทุกวินาทีที่อยู่กับหนังเรื่องนี้หัวใจจะวายครับ ทรมานหัวใจทุกครั้ง เพราะเราไม่มีทางรู้ เลยว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นเมื่อไหร่จะเกิดขึ้น มันจะลุ้นตลอด รู้สึกว่าหัวใจไม่แข็งแรงพอครับ

แต่บอกตามตรงนะครับว่าตอนนี้เชื่อแล้วว่า มะหมาสามารถทำได้ทุกอย่าง เรื่องนี้ เป็นความสามารถทางการแสดงของมันล้วนๆ ครับ เรียกว่าเราไม่ใช้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์กับ การแสดงของหมาเลย จนบางครั้งผมลืมความเป็นหมาของมัน หลงคิดว่ามันเป็นคนด้วยซ้ำ เราสามารถฝึกมันได้จริงๆ ครับ ไม่เฉพาะแต่หมานอกเท่านั้นที่ทำได้ มะหมาไทยๆ ของเรา หรือแม้แต่มะหมาข้างถนน มันก็สามารถทำได้จริงๆ เผลอๆ อาจฉลาดกว่าและเก่งกว่าด้วยซ้ำ!

อยากบอกจริงๆ มะหมาทั้งหลาย ว่าขอบใจมากๆ แต๊งกิ้วหลายๆ ขอบคุณจริงๆ เพราะพวกมันไม่รู้หรอกว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือถึงจะเหนื่อยแต่พวกมันก็ทำให้จนสำเร็จ ซึ้งใจมากเพื่อน... และด้วยความเป็นมะหมานี้ ก็ทำให้ได้รับความช่วยเหลือมากมาย อย่างคาดไม่ถึงจากคนรักหมา ทั้งจากนักแสดงเองอย่าง พี่ “ ปุ๊ อัญชลี” ที่รับเล่นเรื่องนี้ทันที อย่างไม่ลังเล ทั้งๆ ที่ไม่เคยรับเล่นหนังมานานมาก และ “ หนูแหวน” ดารารับเชิญอีกคนที่มา รับเล่น โดยนำเงินค่าตัวที่ได้แบ่งไปบริจาคมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือมะหมา ขอบคุณในความเป็น มะหมาของเธอจริงๆ ...

ปุ๊ก พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์
- ร่วมกำกับภาพยนตร์ กับพี่หง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท และพี่ป้อน นิพนธ์ ผิวเณร
- เรื่อง “ คู่กรรม” ฉบับเบิร์ด ธงไชย และอุ๋ม อาภาศิริ
- ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ ไอ้ฟัก”
- CO-PRODUCER ภาพยนตร์เรื่อง “ สัตว์ประหลาด” และ “ แสงศตวรรษ”
- รับหน้าที่ PRODUCER ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “GHOST GAME”


สัมภาษณ์สมเกียรติ วิทุรานิช

ใครจะเชื่อครับว่ามันทำได้! ใครจะไปคิดล่ะครับ! นั่นเป็นคำที่ผมร้องลั่น (อย่างสุภาพ)ทุกครั้งที่ผมเห็นมะหมาเหล่านั้นในหนัง “ มะหมา 4 ขาครับ” ตอนผมเขียนบทเอง ผมยังไม่คิดว่า มันจะทำได้เลย แต่ผมอยากเห็นมันทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เลยเขียนๆ ไปยิ่งเขียน ยิ่งสนุก ให้มัน ทำอะไรมากมาย หลายต่อหลายอย่าง เริ่มจะผิดหมาไปทุกทีกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปปีนึงครับ เพราะต้องหาข้อมูล พูดคุยสอบถามจากคนเลี้ยงหมาทั้งจรจัดและไม่จรจัด และอาศัยประสบการณ์ ตอนเด็กๆ ที่ได้คลุกคลีกับหมาข้างบ้าน แต่ดันมาอยู่บ้านเราจนเหมือนเป็นหมาของเราไปแล้ว เรียกว่าเขียนอย่างเมามัน และก็มันมือล่ะครับ แต่พอมาได้รู้ว่าผมต้องกำกับเรื่องนี้ด้วย ลมแทบใส่ครับ

แต่ก็ต้องตอบตกลงเพราะโดนบังคับ! ไม่ใช่นะครับ... ล้อเล่น แต่เป็นเพราะ รู้ศักยภาพของปุ๊กว่าถ้าเค้าอยากทำอะไรเค้าทำได้จริงๆ แล้วทำได้ดีด้วย เลยคิดว่างานนี้ น่าจะออกมาดี และเป็นการกำกับร่วมกัน 2 คนด้วย ถ้าคนเดียวคงไม่รับแน่ๆ แล้วข้อดีของ การกำกับ 2 คนก็คือ จะเป็นผู้กำกับที่ไม่โดดเดี่ยว เพราะเมื่อเกิดปัญหาทุกคนทั้งกอง จะหันมาหาคำตอบจากผู้กำกับ ถ้ากำกับคนเดียวก็ต้องคิดคนเดียว หัวเดียว แต่ถ้ามี 2 เหมือนมันมีคู่คิด คู่หู ติดตัวตลอด สามารถแบ่งงานกันทำตามที่ถนัดได้ และความลงตัว อีกอย่างคือ สิ่งที่ต้อง การสื่อสารในเรื่องนี้คือความสามัคคี มันเป็นสากล เป็นเรื่องที่ทุกคน เข้าใจตรงกัน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาในการกำกับกัน 2 คนครับ

พอได้มีโอกาสมากำกับก็เหลือเชื่อจริงๆ ครับ เหลือเชื่อในความสามารถของมัน คุณเคยเห็นอาการเหล่านี้มั้ยครับ ยิ้ม เศร้า เหงา อินเลิฟ กอด พลอดรัก ไม่ใช่ของคนนะครับ แต่เป็นของหมา! ถ้าไม่เคย คุณคิดภาพหมาทำสิ่งเหล่านี้ออกมั้ย ในหนังเรื่องนี้มีให้คุณเห็นเพียบ จนคุณต้องทึ่งเลยครับ พวกมันถูกฝึกมาอย่างดีกับครูฝึกมืออาชีพ เพราะฉะนั้นช่วงถ่ายทำ จึงต้องมีครูฝึกอยู่ในฉากด้วยทุกครั้งเพื่อคอยสื่อสารกับมัน และนี่ก็เป็นปัญหาให้แก้กันบ่อยครับ เพราะเรื่องนี้ถ่ายมุมกว้างเยอะ เพราะฉะนั้นนอกจากจะจัดการกับมะหมาให้อยู่ในที่ของมันแล้ว ยังต้องคิดหาที่หาทางให้กับครูฝึกด้วย บางครั้งตามต้นไม้สูง ตามชานบ้านก็เป็นที่ ที่ครูฝึกต้องอยู่

การถ่ายทำแต่ละวันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ไม่ใช่ว่า จะถ่ายกันได้ทั้งวัน ทั้งคืนเหมือนคน หมามันต้องการเวลาพักครับ ถ้ามันเหนื่อย มันต้องได้พักไม่อย่างนั้นมันถ่ายต่อไม่ได้ หรือถ้าร้อน ก็ต้องหยุดครับ ต้องพักให้หายร้อน อย่างถ่ายกันตอนเช้า 7-8 โมง พอถึง 10 โมงก็ต้องพักครับ เพราะมันจะเหนื่อยแล้ว ถ่ายได้อีกที บ่าย 2 เพราะช่วงเที่ยงๆ มันจะร้อนมากครับ เพราะถ้าขืนฝืน ให้มันเล่นไป แล้วมันเกิดอารมณ์เสีย หรือเหนื่อยจนไม่มีแรง ก็จะพานเอาไม่เล่นไปเลยทั้งวัน มันจะแย่กว่าครับ ไงล่ะครับ ยิ่งกว่านักแสดงซูเปอร์สตาร์ซะอีกนะครับ

แต่ช่วงหลังๆ เราต้องถ่ายสปีดกว่าปกติหลายเท่า จากวันนึงถ่ายได้ประมาณ 10 คัต แต่ช่วงหลังๆ ต้องถ่ายให้ได้ถึง 20 คัต และเป็นคัตที่ยากๆ ทั้งนั้นด้วย จนแทบจะหมดหวัง ไปตามๆ กัน แต่แล้วเหมือนมีพลังมหัศจรรย์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น ซีนยากๆ ที่คิดว่า ต้องถ่ายกันเป็นครึ่งคืน แต่กลับถ่ายได้ภายในครึ่งชั่วโมง ขนาดครูฝึกยังบอกว่าไม่คิดว่า จะทำได้ขนาดนี้ คือรู้สึกว่าเหมือนเค้าจะรู้ว่าเรารีบ เค้าเลยช่วยเหลือเรา มหัศจรรย์จริงๆ ครับ

ถึงตอนนี้ไม่อยากบอกว่าขอบคุณแล้ว แต่อยากจะบอกว่าขอโทษจากใจจริง เพราะความต้องการที่เยอะเหลือเกินของเรา ที่ทำให้เค้าต้องฝึก ถ้าเค้าไม่ถูกเราเลือก เค้าคงจะได้นั่งๆ นอนๆ เดินคุมซอย หากินอยู่ที่ของเค้าก็ได้ แต่นี่เค้าต้องมาฝึกในงานของเรา ต้องเหนื่อย บางครั้งต้องร้อน แต่พวกเค้าก็ยังทำงานให้เรา... ขอโทษจริงๆ

อยากให้มาดูในความสามารถของมะหมาจริงๆ ว่ามันทำได้ เป็นหนังที่ดูสนุก ดูได้ทั้งครอบครัวโดยเฉพาะเด็กๆ เพราะประเด็นของเรื่องเกี่ยวกับความรักและ ความสามัคคี ซึ่งน่าจะเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเอาหมามาสอนคน แต่อยากทำออกมา ให้เด็กๆ ได้ดู ได้เห็นว่า “ เพื่อนจะไม่ทิ้งเพื่อน เพื่อนต้องรักเพื่อน และเพื่อนต้องอภัยให้เพื่อน” นี่คือสาระสำคัญของเรื่องที่เราอยากจะสอดแทรกลงไป และถ้าเป็นไปได้อยากให้หนังเรื่องนี้ปลุกกระแส “MIDROAD MANIA” ขึ้น อยากให้คนไทย

หันมาคลั่งและรักในมะหมาข้างถนน หมาไทยของเรา มากกว่าจะไปหลงใหลในหมาฝรั่ง หมานอกให้เสียดุลการค้าเล่น จริงมั้ยครับ

สมเกียรติ วิทุรานิช
- ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ คนทรงเจ้า”
- หนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ “AIR AMERICA ”
- ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ “ วิถีคนกล้า”
- ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ ฝากฝันไว้เดี๋ยวจะเลี้ยวมาเอา”
- เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ ไอ้ฟัก”

   
 

 

 

Everything you want to know about Thai film, Thai cinema
edited by Anchalee Chaiworaporn อัญชลี ชัยวรพร   designed by Nat  
COPYRIGHT 2004 http://www.thaicinema.org. All Rights Reserved. contact: ancha999 at gmail.com
By accessing and browsing the Site, you accept, without limitation or qualification, these copyrights.
If you do not agree to these copyrights, please do not use the Site.