หน้าแรก
ข่าว
วิจารณ์
สัมภาษณ์
บทความพิเศษ
รายงานหนังไทยในเทศกาลหนังต่างๆ
รายชื่อหนังสือและบทความเกี่ยวกับหนังไทย
รายชื่อ ที่อยู่ หน่วยงาน
 
รายชื่อหนังเก่า
 
 
 
 

   
เก๋า เก๋า The Possible
  สารบัญหน้านี้:      นักแสดงหลักเปิดใจ
  LINK: เรื่องย่อ    เครดิตหนัง สัมภาษณ์ผู้กำกับ    แกลอรี่ภาพ
  บทวิจารณ์: ไปดู เก๋า ..เก๋า ได้ตลกแทนที่จะได้หนังเพลง
   
 

โจอี้ บอย รับบทต๋อย เจ้าของฉายา ช้าไปต๋อย
“พรุ่งนี้จะอัด เดือนหน้าก็ฮิต ฮิตแล้วมาขอ ไม่เล่นนะคร้า..บ..บ”

พลิกบทบาทจากเจ้าพ่อเพลงแร็ป มาสวมวิญญานโปรดิวเซอร์และนักแสดงนำของภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต วันนี้ โจอี้ บอย อาจจะดูแปลกตาไปสำหรับแฟนเพลงและคนที่คุ้นเคยกับลีลากวนๆบนเวทีของเขา แต่พ่อหนุ่มแร็ปหน้าหยกก็ยังไม่ทิ้งความเก๋า เพราะหอบเอามาดยียวน มากวนต่อให้คอหนังไทยได้ลิ้มรสความซ่าส์แบบเต็มขั้น ใน เก๋า..เก๋า

“หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวสมัยที่พ่อผมหนุ่มๆทั้งเพลง ทั้งแฟชั่น เป็นความทรงจำของผมตั้งแต่เด็กเพลงทั้งหมดเป็นเพลงที่ผมโตมากับมัน รู้สึกว่าใกล้ชิดกับยุคนั้นมากๆจนเกิดไอเดียว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างที่สามารถรีมายด์ถึงยุคนั้นได้ ถ้ามีโอกาสสร้างหนังสักเรื่องที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพลงพวกนี้คงน่าจะสนุกมาก เลยลองเขียนโครงเรื่องๆขึ้นมา    เสร็จแล้วก็นึกถึง จีทีเอช ทันทีเลยลองเอามาเสนอพี่เก้งดู ผมเคยคิดเรื่องอื่นไว้เยอะแล้วก็เอาไปเล่าให้คนโน้น คนนี้ฟัง แต่แปลกที่พอมาถึงเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเกิดขึ้นจริงและน่าจะเป็นอะไรที่เราถนัด เพราะมันเกี่ยวกับเพลงที่เรามีข้อมูลอยู่แล้ว วันนั้นถือกระดาษเข้าไปแผ่นเดียวเท่าที่จดไว้ แล้วก็เล่าให้พี่เก้ง พี่สิน คุณวิสูตร ฟัง เสร็จแล้วก็เปิดเพลงให้ฟัง ปรากฎว่าพี่ๆเขาสนใจ ผมก็ถามว่าถ้าเราลงมือสร้างใช้เวลานานแค่ไหน พี่เขาบอกประมาณหนึ่งปีหลังจากนี้

ผมกับน้อตก็ตกลงที่จะลงมือทำ นักแสดงนำเราก็มีไว้ในใจหมดแล้วมีแค่ตำแหน่งมือกลองที่หายากมาก มาคนสุดท้ายเลย พอรู้ว่าเป็นโบผมก็โอเค ใช่เลย ดูเขาตั้งใจ เวลาเขาซ้อมดูทุ่มเทกับหนังมาก เราก็แฮปปี้กัน เรื่องบทภาพยนตร์ผมจะเล่าซะส่วนมากแล้วก็ส่งให้ทีมเขียนบททำ

ส่วนเรื่องผู้กำกับเรารู้ประวัติบอลเขาอยู่แล้ว คุยกันครั้งแรกมันคลิกเลย พอเริ่มทำงานโอ้โฮ มันเหนื่อยมาก คือเราเป็นนักร้องเราจะรู้ว่าวันที่ถ่ายเอ็มวีจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุด แต่หนังเหมือนถ่ายเอ็มวี 30 กว่าเรื่อง เรามีงานประจำที่เวลามันผิดแผกไปจากชาวบ้านเขา บางวันผมตื่นตี4ทำงานเลิก 4 ทุ่ม 5 ทุ่มเที่ยงคืนเราเล่นคอนเสิร์ต เลิกตีสอง ตี4ลุกขึ้นมาถ่ายหนังอีกแล้ว ปัญหาของเราคือการตื่นเช้าเพราะเราเป็นคนกลางคืน ร่างกายมันก็มีบ้างที่ไม่ไหว ยิ่งทุกวันเราต้องใส่สูทถือกีตาร์ ใส่วิก ใส่ส้นตึก มีอยู่วันหนึ่งหลุดเลย
อยู่บนเวทีที่มันร้อนๆมันปรี๊ดขึ้นมาเลยไม่ไหวแล้วเอากีตาร์เอาวิกออกเดี๋ยวนี้ บางวันก็ลืมไปเลยว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว

โดยส่วนตัวผมชอบฉากดราม่ามากกว่า แต่โดยคาแรกเตอร์แล้วผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างใช้อารมณ์ โวยวายตวาดอยู่ตลอดเวลา ช่วงการทำงานที่ผ่านมา ผมเริ่มรู้สึกชอบหนังแล้วล่ะ เริ่มรักมันแล้ว มันเหนื่อยที่สุดแต่ก็สนุกที่สุด ประเด็นใหญ่ที่ผมคิดคือคิดไม่ผิดเลยที่เลือกทำงานกับจีทีเอชเพราะผมรู้ว่าที่นี่ทำหนังดี อย่างเดียวที่ผมคิดจะอยากจะทำหนังสักเรื่องก็เพื่อที่จะเก็บไว้ให้ลูกเราได้ดู มีไว้โชว์ให้เพื่อนเราได้ดูผลงานที่เราภูมิใจ ”

เขาอาจจะเก๋าในวงการเพลง แต่ตอนนี้เขากลายเป็นโปรดิวเซอร์หนังไทยที่กำลังฝึกเก๋า และน่าจับตามองที่สุดอีกคนหนึ่ง ส่วนความเก๋าจะเข้าขั้นแค่ไหน ก็ต้องรอให้คนไทยได้พิสูจน์บทบาทที่เขาออกปาก ว่าเหนื่อยที่สุดและก็สนุกที่สุดเช่นกัน

ผู้กำกับพูดถึงนักแสดง: โจอี้ บอย เราจะเห็นเขาเป็นแบดบอยกวนๆปากจัด ในเรื่องเราก็วางให้เขาเป็นแบบนั้นเลย เป็นคนกวนประสาท คิดยังไง พูดอย่างงั้น แต่ว่าติดฟอร์มจัด ไม่ยอมเสียฟอร์มง่ายๆ ถ้าทำผิดก็ไม่จ๋อยให้ใครสังเกตได้ อยากจะขอโทษก็จะไม่ขอตรงๆ ง้อก็พยายามรักษาฟอร์มตลอดแต่คนใกล้ตัวจะรู้ว่านี่คือยอมสุดๆแล้ว ช่วงถ่ายทำเวลามีปัญหาอะไร เขาก็จะปฎิเสธ แต่ว่าซึมอย่างเห็นได้ชัด พอสนิทกันเขาก็จะค่อยๆระบายอะไรออกมา เราก็เออ โจอี้ กับ ต๋อย เหมือนกันเลย

Tester: ....คนที่เก๋าอาจจะไม่เจ๋งก็ได้แต่มั่นใจว่าเจ๋ง เป็นพวกที่มีอีโก้ มีอัตราเยอะ คนที่เก๋าน่าจะเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์มากกว่า ถ้าถามว่าผมเก๋าตรงไหน ก็น่าจะเป็นบนเวทีคอนเสิร์ตเวลาอยู่บนนั้นผมจะเป็นอีกคนหนึ่ง ผมจะเป็นโจอี้ บอย แล้ว โจอี้บอย นั่นแหละเก๋า ไม่ใช่คนที่นั่งทำหนังวันนี้ มันคือผมและความเก๋าบนเวที....

โป้ โยคีเพลย์บอย รับบทโบ้
“ถึงเวลาที่เราจะกลับไปสร้างตำนานให้เก๋ากว่าไอ้วงเลียนแบบนี่แล้วว่ะ”

 

เห็นลีลา ยักย้าย ส่ายสะโพก บนเวทีแต่ครั้งแล้วไม่อยากจะเชื่อว่า โป้ โยคีเพลย์บอย จะยอมใจอ่อนมาเล่นหนังได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อวันนี้เขามาพร้อมบทบาทของโบ้มือกีต้าร์ มาดเข้มแห่งวง Possible

“ตอนแรกพี่โจ้โทรมาชวนแต่ก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ เพราะไม่เคยเล่นหนังเลย แต่พอคุยในเรื่องของทีมงานที่จะทำ คุยเรื่องของพลอตเรื่องที่จะทำ มันทำให้เราพอเข้าใจในตัวเนื้อเรื่อง ผมรับบทเป็นโบ้ เป็นมือกีตาร์ของวง ก่อนที่จะเริ่มทำงานเราจะมีเวิร์คชอป มีแอคติ้งโค้ชมาแนะนำการแสดงก่อน ทำให้ผมวางใจไประดับหนึ่ง นอกจากเรื่องการแสดงแล้วยังมีเรื่องของการทำงานร่วมกับคนอื่นด้วย ต้องอาศัยการปรับตัวพอทำงานไปเรื่อยๆเราก็เริ่มคุ้นเคยกันการทำงานก็ง่ายขึ้น ฉากที่ผมคิดว่ายากที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นฉากที่ต้องใช้อารมณ์ เช่นฉากที่ต้องร้องไห้ ตอนนั้นหลายเทคมากหรือฉากที่ต้องพูดแบบใช้อารมณ์ผมรู้สึกว่ามันจะแข็งๆหน่อย แต่ก็ได้ผู้กำกับให้กำลังใจว่าเป็นเรื่องปกติ ของคนที่ใหม่กับงานแสดง ผมก็ค่อยๆปรับตัวเองมาเรื่อยๆ  แต่ที่หนักใจที่สุด  น่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าโดยเฉพาะรองเท้าส้นตึก ทรมานมาก จนมีชื่ออุบัติเหตุในกองถ่ายว่าตกตึกเพราะตกกันบ่อยมาก

การแสดงหนังทำให้ผมรู้ว่าต้องใช้ความอดทนมากระดับหนึ่งเหมือนกัน ผมพบว่าทั้งการทำหนังและการทำเพลง มันอยู่ที่ใจรักในการทำงาน เพราะถ้ารักแล้วเราก็จะเต็มที่กับการทำงาน โดยไม่สนว่าจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน คือมันต้องมีความอดทนและมีใจรัก ต้องศึกษางานในด้านนั้นอย่างถ่องแท้ ผมว่าหนังเรื่องนี้พลอตเรื่องน่าสนใจ คนที่ได้ดูน่าจะได้ความสนุกสนานและเพลินไปกับเนื้อเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ เพราะมันไม่เหมือนหนังคอมเมดี้ทั่วๆไป ”

จะนอกจอหรือในจอโป้ โยคีเพลย์บอย ก็ยังไม่ทิ้งลายขรึม คำพูดที่กระชับแต่ใจความเข้มข้นน่าจะบอกความเป็นตัวเขาในเก๋า..เก๋าได้ดีที่สุด

ผู้กำกับพูดถึงพี่โป้: พี่โป้ ภาพที่เราคุ้นตาก็คือเวลาที่เขาอยู่บนเวที เขาจะร้องเพลงไป ส่ายสะโพกไป โยกก้นไปมา จะออกแนวเซวฟ์จัด แต่ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงเขาเป็นคนขี้อาย จะมีความมั่นใจและมีรัศมีก็ต่อเมื่ออยู่กับกีต้าร์ เลยวางให้เป็นคนนิ่งๆพูดน้อย แต่เท่ ถือกีต้าร์ติดตัวตลอดเวลา เพราะมีกีต้าร์แล้วดูเท่ดูดี ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรแต่ทันทีที่พูดทุกคนก็จะฟังเขา

เก๋า Tester: ....พูดถึงคำว่าเก๋านึกผมจะนึกถึงความคลาสสิค แต่ถ้าถามว่าผมเก๋าตรงไหนผมคงบอกตัวเองไม่ได้....

สอง พาราดอกซ์ รับบท สองเบบี้
“คุณไมค์โครโพนครับช่วยพาเรากลับไปพ.ศ.2512 ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

แต่งหญิง เล่นเบส อยู่บนเวทีคอนเสิร์ต ในนามวงพาราด็อกซ์ มาหลายปี จนกลายเป็นขวัญใจเด็กแนวไปแล้ว สอง พาราด็อกซ์ ก็ยังยึดคอนเซปแปลกแหวกแนวมาสวม บทสอง เบบี้ ใน เก๋า..เก๋า ได้แบบน่ารักน่าชังตามสไตล์ คนมีโลกส่วนตัว ได้อย่างน่าทึ่ง

“พี่โจ อี้ โทรมาชวนเองเลยเขาบอกว่าจะให้เล่นเป็นมือเบส แล้วก็เล่าให้ฟังว่ามันเป็นหนังดนตรีย้อนยุค ผมก็เออน่าสนุกดี ก็ตัดสินใจเล่นเลยผมเข้าไปเป็นคนที่3 ช่วงแรกก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งกับพี่ๆเขา หลังๆมาก็มีไปแจมบ้างเวลาที่เขาประชุมงานกัน จริงๆมันก็เหมือนกับทำวง All Star แล้วมีพี่โจ อี้ ร้องนำ แล้วพี่บอลก็บอกว่าเขียนบทขึ้นมาจากตัวเรา มันก็เหมือนกับเล่นแบบสบายๆ แต่งตัวเยอะๆ ฉากที่ผมชอบที่สุดก็คงเป็นฉากตะลุมบอนกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวมั้ง มันส์ดี เหมือนตีกันจริงๆเพราะทุกอย่างมันถูกบังคับไว้เลยว่าต้องเทคเดียวผ่านเพราะมันเป็นก๋วยเตี๋ยวไง ต้องล้มโต๊ะเลย ผมโดนลอคคอแล้วเอาหมูแดงทั้งแท่งยัดปากทั้งๆที่เราเป็นมังสาวิรัติ แต่ก็สนุกดี

ทรงผมที่ดูโดเด่น ในหนัง เป็นไอเดียของพี่บอลเพราะเขาอ่านการ์ตูนมาเอดะบลู เรื่องพวกแก๊งวัยรุ่นญี่ปุ่น ใช้เวลาทำวันละประมาณ 1 ชม. ตอนแรกคนอื่นก็จะบิ้วให้ตัดผมแต่เราทนได้ทำเป็นเฉยๆไป แต่ชุดที่ใส่มันร้อนมาก แต่พอหลายๆวันเข้ามันก็จะเริ่มชิน วันไหนที่ต้องอยู่กลางแดดหรือที่อบๆอย่างในรถ ก็จะเป็นลมเอาเหมือนกัน ถ้าให้เลือกระหว่างงานเพลงกับหนังก็ยากเหมือนกันนะ ทำเพลงอาจจะรู้สึกสบายกว่าเพราะเราทำมานานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่    เพราะถ้าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ มีไฟ มีมีทีมเวที มีคิวเพลง ก็จะมีคนมาคอยบอกให้เราทำแบบนั้นแบบนี้อันนั้นก็เริ่มไม่สนุกแล้ว แต่ว่าหนังมันจะมีองค์ประกอบเยอะกว่า ค่าใช้จ่ายสูงกว่าก็ต้องใจเล่นหน่อย แต่ถ้าตั้งใจไปก็จะเล่นแข็งอีก ช่วงหลังก็เลยปล่อยสบายๆจะเครียดช่วงวันแรกๆเพราะหนังมันไม่ได้ถ่ายเรียงซีนด้วย ถ่ายทำวันแรกก็กลางเรื่องแล้วมันก็มีงงๆบ้าง หลังๆก็เริ่มเข้าใจ เพราะมีแอคติ้งโค้ช คอยบอกก่อนว่าตอนนี้ท้ายเรื่องแล้วตอนนี้เป็นแบบนี้แล้วก็เลยง่ายขึ้น   

เก๋า..เก๋า น่าจะสร้างความฮาเฮได้ดีนะสำหรับคนที่จะดู ผมชอบดูหนังแปลกๆหนังที่เขาว่าอาร์ตก็ไปซื้อมาดู หนังที่มันตลกร้ายหน่อยๆเพราะหนังพวกนี้จะแทรกการค้นหาตัวเองของมนุษย์ทุกครั้ง หนังตลกแบบการเดินทางตัวละครก็จะโตขึ้น ได้พบอะไรมากขึ้น เรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน การข้ามยุคมาก็จะเจอกับเหตุการ์สนุกๆที่จะทำให้พวกเขาได้คิด และหาทางออก จนเจอบทสรุปที่น่าสนใจหลายอย่าง ”

นักดนตรีระดับแถวหน้าออกมารับประกันแน่นหนักขนาดนี้ เห็นทีสาวก พาราด็อกซ์คงจะพลาดบทบาท สอง เบบี้ของเขาไม่ได้แล้ว

ผู้กำกับพูดถึงสอง : เวลาเขาเล่นคอนเสิร์ตบนเวทีดูเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง อยากจะแต่งหญิงก็แต่ง อยากจะกระโดดหันหลังให้คนดูก็ทำ ทุกคนจะรู้สึกว่าวงพาราดอกซ์เป็นวงที่มีความเป็นศิลปินสูง ก็เลยคิดว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นคนมีโลกส่วนตัวของตัวเอง ความที่เจ้าตัวชอบแต่งตัวเหมือนผู้หญิง ติดพูดหยานคางช้าๆเราก็เลยเอามาวางให้ออกมาเป็นคนพูดจาเพราะตลอดเวลา มีครับผม มีขอบคุณครับ จะตีคนอื่นก็ยังต้องขออนุญาติตีหัว ขอเคาะตรงนี้นะครับ แต่บางทีคนประเภทนี้เวลาพูดอะไรออกมาแล้วทุกคนก็จะหยุดคิดแล้วก็เออว่ะเราต้องฟังมัน เหมือนเป็นมันสมองของกลุ่ม จะมีบทพูดน้อย แต่เวลาถ่ายทำถึงไม่มีบทพูดก็จะต้องเล่นด้วยท่าทางและสายตาอยู่ตลอดเวลา ก็ถือว่าเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่สร้างสีสันให้พอสมควร

เก๋า Tester : ....พูดถึงคำว่าเก๋าทีไร ผมนึกถึงปลาทอดชนิดหนึ่งที่ใช้น้ำซอส 3 รส ราดก่อนที่จะรับประทาน แต่สำหรับเรื่องนี้น่าจะเป็นคำตอบของหนังเรื่อง คือคนเราพอผ่านเหตุการณ์อะไรมาสักอย่างหนึ่งมันก็จะรู้สึกโตขึ้น เก๋า เกมขึ้น รู้ทันแล้วเพราะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ต่อไปก็ปรับตัว และมีประสบการณ์มากขึ้น ส่วนความเก๋าของผมก็ต้องเป็นเรื่องนอน นอนทั้งวันทั้งคืน เคยนอนนานที่สุด 1วัน เต็มๆ จนแม่ต้องวิ่งขึ้นมาปลุกคิดว่าเป็นอะไรไปแล้ว....

 

ยุทธนา ธุวประดิษฐ์ รับบท น้อต แซมบ้า
“เก๋าไม่เก๋า กูก็กินเกาเหลาไม่เคยจ่ายตังค์โว้ย”

คลุกคลีอยู่กับงานเบื้องหลังมานาน เมื่อเพื่อนซี้ขาฮิปอย่างโจอี้ บอย เอ่ยปากชวนให้มาช่วยกันทำหนัง คนที่ชอบความท้าทาย อย่างน้อตจึงตอบรับทันที

“มันเริ่มจากที่โจ อี้ เขามาเล่าว่าโป้ เขามีไอเดียจะทำอัลบั้มเพลงแบบย้อนยุคคือจะเอาเพลงที่ดังในอดีตอย่าง Ring my bell มาใส่เนื้อร้องเป็นไทย ส่วนที่เป็นจุดประทุอารมณ์คือโจ อี้บอกว่าโป้จะเอามาแปลงเป็นเพลง กางเกงลิงลอยฟ้า เราได้ยินชื่อเพลงก็รู้สึกว่าน่าสนุกดี นั่งคิดนั่งคุยกันไปมาก็คิดว่าเพลงพวกนี้ก็น่าจะทำเป็นหนังได้นะ โจ อี้ เขาก็บอกว่าเออใช่ๆหลังจากนั้น โจ อี้ ก็คิดออกมาเป็นฉากๆเลยว่าถ้าเป็นหนังนะคนนี้ต้องอย่างนั้น คนนั้นต้องอย่างนี้ กลายเป็นว่าตัวละครแต่ตัวเราคิดกันตรงนั้นเลย ว่าใครจะเล่นเป็นอะไรและใครคาแรคเตอร์เป็นแบบไหน ทำให้เก๋า..เก๋า เป็นหนังที่แทบจะม่ต้องแคสนักแสดงเลยเพราะทุกตัวละครเกิดขึ้นภายในคืนเดียว มีแค่มือกลองและนางเอกเท่านั้นที่ต้องแคสเพิ่ม

ตอนแรก โป้ เขาตั้งใจว่าจะให้วงนี้ชื่อวงพุทธศตวรรษ แต่พอมาคิดกันอีกทีว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วก็อำวง The impossible ไปเลย ก็เลยกลายเป็นวง possible ในที่สุด แล้วคืนนั้นโจ อี้ ก็โทรหาพี่เก้งเลย บอกว่าพี่เก้งครับพรุ่งนี้ว่างไหม เดี๋ยวจะเอาอะไรเข้าไปปรึกษา ตอนที่เข้าไปหาพี่เก้งก็ไปแบบเป็นกระดาษ A 4 เน่าๆเขียนด้วยปากกา ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยไปถึงก็ใช้เล่าให้พี่เขาฟัง คุยแชร์กัน จนพี่เก้งเริ่มสนใจ พวกเราก็ใจชื้นและเตรียมพร้อมกับงานใหม่ทันที

ก่อนหน้านี้ผมทำงานเบื้องหลังมาตลอด ส่วนใหญ่จะทำด้านดนตรี ตั้งแต่สมายทีวี แล้วก็ออกมาช่วยเขาก่อตั้ง CH.V ไทยแลนด์ เสร็จแล้วก็ออกมาอยู่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่มาเป็น Creative ที่บริษัททีนทอล์ก หลังจากนั้นก็ออกไปอยู่รายการสาระแน แล้วก็กลับมาอยู่จีเอ็ม เอ็มแกรมมี่อีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีโอกาสได้กลับมาสนิทกับโจ อี้ อีกครั้งนึง เมื่อก่อนก็เจอกันก็แค่ทักทายไม่ได้สนิทถึงขั้นมานอนที่บ้านอย่างทุกวันนี้ ที่จริงเราคุยกันหลายโปรเจกต์มากเพราะเป็นคนบ้าโปรเจกต์เหมือนกัน แต่ไม่เคยทำสำเร็จเลย หนังเรื่องนี้เรื่องแรกที่คิดกับโจ อี้แล้วออกมาเป็นชิ้นเป็นอันที่สุด

ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรก แล้วเราก็ไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ มันก็เลยมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก โชคดีที่ตัวละครตัวนี้เขียนมาจากคาแรคเตอร์ของเรา ทำให้แทบไม่ได้ปรับอะไเลย เวลาถ่ายทำไดอาร็อคของผมเขาจะเขียนไข่ปลาไว้ให้ จะบอกแค่ว่าเอาประมาณไหน เราก็คิดเดี๋ยวนั้นแล้วเพิ่มให้เขาเลย น้อตในเรื่องจะเป็นคนโพงพางพูดจาไม่ผ่านสมอง ออกแนวปากเสีย ตัวเราก็เป็นแบบนี้ เลยเอามาประยุกต์ใช้กับหนังเรื่องนี้

การทำหนังสิ่งที่ยากที่สุดคือการรอคอย ผมทำรายการโทรทัศน์มาก่อนมันใช้กล้องหลายตัว แต่หนังไทยพอถ่ายไป เอ้า พี่น้อตพัก ผมก็เดินเล่นถอดวิกไปครึ่งชม.บางทีก็รอ 2-3 ชม. ว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวเรา อีกอย่างหนึ่งที่ยากก็คงฉากร้องไห้ที่ต้องร้องกันหมดทุกคน มันร้องไม่ได้สักทีสุดท้ายผู้กำกับต้องยอมพวกผม เอาแค่น้ำตาซึมก็พอ เรื่องชุดก็เป็นอีกอย่างที่ทรมานมาก ทุกคนมีคำถามเดียวกันว่าสมัยก่อนอยู่กันได้ไงในสภาพอากาศแบบนี้ เขาใส่กันฟิตไปหมด เวลาพวกเราเปลี่ยนชุดบางทีรีดเอาน้ำออกมาได้เลย กลับบ้านทุกคนแทบหมดพลัง เคยใส่ชุดแบบนี้นานที่สุด 24 ชม. ไม่ถอดเลย เกือบจะเสียชีวิตแต่ก็รอดมาได้ราวปฎิหารย์

นอกจากความแปลกใหม่ของเนื้อหาแล้ว หนังเรื่องนี้ยังพูดถึงความเป็นเพื่อน คนที่ได้ดูจะรู้สึกได้เลยว่ามันจะมีความสัมพันธ์ของเพื่อนอยู่ค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าลึกๆแล้วจะมีความไม่พอใจกันบ้างแต่ทุกอย่างก็คลี่คลายเพราะความเข้าใจกัน อย่างตอนหนึ่งที่คนทั้งวงทะเลาะกัน ต๋อย (โจ อี้ ) เขาชอบทำตัวอยู่เหนือการควบคุมของเพื่อน คือจะทำอะไรก็ทำจะไปไหนก็ไป ผมต้องด่าเขาทั้งๆที่ปกติน้อตจะเออออกับคนอื่นตลอดแต่นี่คือทนไม่ไหวแล้ว เรื่องราวมันเยอะทุกอย่างจะผูกสัมพันธภาพระหว่างเพื่อน แฟนเพลงและวงดนตรีไปตลอดทั้งเรื่อง ”

ผู้กำกับพูดถึงน้อต: เนื่องจากนักแสดงทั้งหมด มี โจ อี้ คนเดียวที่มีบทพูดเยอะที่สุด พี่โป้กับสองก็จะออกแนวนิ่งๆเท่ๆมากกว่า แต่เราขาดตัวที่พูดไปเรื่อยๆ พูดตลอดเวลา ตอนที่เราเขียนบทไอ้นี่จะเป็นคนมาตบมุขให้เวลาที่เรานึกอะไรไม่ออก หรือตอนที่รู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกก็ต้องมาลงที่ตัวนี้พูดมาก ปากหมา หน้าหม้อ ปีนเกลียว ทุกอย่างมารวมที่ไอ้คนนี้หมด แต่คนแบบนี้เวลาโมโหมันก็จะแรงเลย ในหนังเราจะเห็นคนนี้พูดเล่นมาเรื่อยๆแต่พอเวลาโมโหจะแบบว่าอย่าคิดว่าข้าตลกอย่างเดียวนะ จะเป็นตัวมีปฎิกิริยากับคนรอบข้างตลอดเวลา คือคนอื่นเวลาเจอเหตุการณ์อะไรจะนิ่งเก็บไว้ แต่ตัวนี้ต้องพูดต้องบ่นไว้ก่อน

เก๋า Tester : ....ความเก๋า น่าจะหมายถึงคนอายุมากๆที่สามารถทำให้กลัวลำแสงออร่ารอบๆตัวเขา คือแค่เขาเดินผ่านเราก็จะรู้สึกว่าเขารุ่นใหญ่ว่ะ เวลาเราเดินผ่านเขาหลังของเราจะงอได้เองอย่างอัตโนมัติ นี่แหละอารมณ์คนเก๋า ส่วนตัวผมปากนี่เก๋าสุดแล้ว น้อยคนนักจะเทียบได้...

ดีเจโบ-ธนากร รับบท เบ๊  “ผมว่าเราหลงทางว่ะพี่”

ไปหลงไหลได้ปลื้มอยู่ที่หน้าปัดวิทยุคลื่น EFM อยู่นานจนสามารถครองใจสาวๆไปได้ทั้งประเทศแล้ว วันนี้ ดีเจ หน้าหล่อ โบ-ธนากร ก็มีโอกาสได้มาหาประสบการณ์กับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ด้วยบท เบ๊ น้องนุชสุดท้องของวง Possible

“พอรู้ว่าจะได้มาแคสภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็ถามเลยว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีใครเล่นบ้าง พอรู้เนื้อเรื่องก็รู้สึกว่ามันสนุก ยิ่งเห็นว่าพี่โจ อี้ พี่โป้ พี่สองเล่น ผมก็ยิ่งอยากเล่น เพราะชื่นชอบผลงานของพวกพี่ๆเขามาก วันแรกที่มาแคสพี่เขาให้ลองเล่นฉากหนึ่ง แล้วก็อธิบายว่าเบ้คือน้องในวงที่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ มันเล่นยาก เพราะผมไม่เคยผ่านงานแสดงมาเลย บทบาทของเบ๊แตกต่างจากตัวผมมาก ที่เหมือนกันก็คือการเป็นน้องเล็กสุดในวง พอไปอยู่ในกลุ่มของพี่ที่โตกว่า การแสดงออมันก็จะออกมาเป็นเบ๊ อยู่แล้ว การพูดจาก็เหมือนเกรงใจพี่ๆเขาอยู่แล้ว อาจจะแหยกว่าหงอกว่าความเป็นจริงหน่อยเท่านั้นเอง

ผมใช้เวลาหลายอาทิตย์เหมือนกันถึงจะจับได้ว่าถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้เบ๊จะทำอย่างไร ต้องอาศัยประสบการณ์ช่วย แต่ก็มีแอคติ้งโค้ชคอยช่วยไกด์ให้ในตอนแรก ผ่านมาเดือนหนึ่งทุกอย่างมันก็จะชัดขึ้น ตั้งแต่แสดงมาผมชอบฉากที่เล่นดนตรีด้วยกันทุกฉาก รู้สึกว่าอยู่ดีๆผมก็มาอยู่ในวงที่รวมพี่ๆที่เก่งๆแต่ละด้าน มีเราคนเดียวที่เล่นดนตรีไม่ได้เลยแค่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเขาผมก็ภูมิใจแล้ว ในชีวิตจริงผมคงไม่มีโอกาสแบบนี้

ปัญหาใหญ่ของผมคือผมตีกลองไม่เป็นเลย ต้องเรียนจริงจัง ถึงในเรื่องจะไม่ได้ใช้เสียงกลองที่ผมตี แต่การถ่ายทำก็หลอกไม่ได้ ทีมงานก็ให้พี่นนท์ วงชีส มาสอนให้ เล่นยากมาก ใช้เวลาเรียนและฝึกตลอด 3 เดือน จนตีได้ 7 เพลง

การมาแสดงหนังครั้งแรก มันก็ยากพอๆกับการทำงานดีเจ ครั้งแรก พอทำไปแล้วสักพักมันก็จะเริ่มชินเริ่มรู้ว่าต้องทำยังไง อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้มันสนุกด้วย ผมก็เลยรู้สึกชอบก่อนที่จะมาถ่ายทำ ผมก็รู้สึกนิยมพี่ๆเขาอยู่แล้ว ผมฟังเพลงพวกเขามาตลอดมันยิ่งทำให้เรารู้สึกเกร็ง แต่พอได้มาร่วมงานเราก็รู้สึกดีจังที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา ทุกคนเป็นกันเองมาก เป็นกองถ่ายที่วัยไล่เลี่ยกัน และมีวัฒนธรรมเดียวกันหมด มีอะไรไม่เข้าใจผมก็สามารถถามพี่ๆทุกคนได้ ”

ผู้กำกับพูดถึงโบ : เพราะเรามีตัวละครแรงๆในตัวเองหมดแล้ว  เราต้องมีตัวเล็กๆสักตัวหนึ่งมาเป็นลูกไล่ในวง เราก็เลยเอาคนหน้าตาดีหน่อยแต่สมัยก่อนสาวๆจะกรี๊ดคนที่หน้าตาเหมือนพระเอกหนังไทย เข้มๆเดินคอเอียง ผมตั้ง อย่างไชยา สุริยัน มิตร ชัยบัญชา ตี๋ๆนี่ถือว่าหน้าจืดไม่ได้เรื่อง แต่ทันทีที่ข้ามเวลามาเทรนด์มันกลายเป็นแบบฮิตเกาหลี ฮิตญี่ปุ่น ก็เลยวางว่าตอนอดีตแฟนเพลงไม่ค่อยสนใจวิ่งชนไอ้นี่กระเด็นเพื่อที่จะไปหาคนอื่นในวง แต่ในยุคปัจจุบันสาวๆกรี๊ดไอ้ตี๋นี่แทน เวลาไปไหนคนดูจะเห็นรีแอคของทั้งวงตลอดเวลาเพราะตัวนี้จะเป็นตัวช่างพูด ช่างถาม เป็นเจ้าหนูจำไม ขี้กลัว กังวลตลอดเวลา ซึ่งโบก็รับหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี

เก๋า Tester: ....ถ้าเก๋าต้องนักเลงเท่านั้นครับ ประมาณว่า คลั่งวิชา หรือเก๋าอาจจะเก๋าไปด้านใดด้านนึง อย่างเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรี เก๋าก็คงหมายถึงฝีมือสุดยอดของยุคนั้น แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมยังไม่เก๋าพอไม่ว่าจะด้านไหน....

รถเมล์-คะนึงนิจ รับบท น้องสตรอเบอร์รี่ “หลายทีแล้วนะ พี่ต๋อย”

สาวน้อยหน้าใส ที่แจ้งเกิดจากบทของใบตอง ในภาพยนตร์เรื่องวัยอลวน 4 ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์นส หลังผละจากอก พ่อตั้ม และแม่โอ๋ ได้ไม่นาน พี่บอล เก๋า..เก๋า ก็ไม่รอช้า รีบจีบมาลงจอต่อทันท
“ มีโอกาสได้ เจอพี่บอล ที่จีทีเอช พี่เขาเล่าให้ฟังว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง แล้วก็ชวนให้มาเล่น หนูฟังแล้วก็สนใจ อยากเล่นทันที หนูรับบทเป็น แอร์โอสเตส เป็นผู้หญิงขี้งอน ขี้หึง และเป็นแฟนของต๋อย นักร้องนำวง Possible ช่วงแรกๆรู้สึกยากเหมือนกัน เพราะหนูห่างไปเล่นละครเป็นปีกลับมาอีกที ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเลยว่าจะเล่นยังไงไปทางไหน เพราะละครเขาจะมีฟิกว่าจะหันยังไงไปทางไหน แต่หนังเขาจะให้คิดเองด้วย บางทีเขาจะบอกแค่ว่าต้องการแบบนี้ ก็ปรับตัวอยู่พักนึง หนูมีอยู่7 คิว แต่เป็น 7 ที่ทรหดอดทนมาก ถ้าวันไหนแต่งเป็นสาวธรรมดาก็โอเค แต่วันไหนแต่งแก่เนี่ย เหนื่อยมาก ๆ เพราะใช้เวลาแต่งหน้าทำผมนานมากประมาณ 6 ชม. หนูต้องเล่นเป็นคนแก่อายุ 40 กว่า เกือบ 50 ปี ตอนแก่ก็มีบทบาทเยอะเหมือนกัน แต่ตอนเป็นสาวก็จะมีไปอาละวาดพี่ๆเขาที่ห้องอัด เพราะความเจ้าชู้ของแฟนเรา ก็จะมีฉากที่ต้องงอนกับพี่โจ อี้ บ้าง งอนตั้งแต่น้อยที่สุดจนไปถึงงอนมากที่สุด ก็สนุกดีค่ะ ได้เล่นได้แต่งตัวสวยๆใส่กระโปรงชุดสั้นๆแล้ว ก็ตีโป่งผม ดูเก๋มากๆ

นอกจากแฟชั่นที่แปลกตาแล้ว หนังเรื่องนี้ยังเสนอมุมความรักระหว่างผู้หญิงที่มั่นคงกับผู้ชายเจ้าชู้ได้อย่างน่ารัก อาจจะทำให้หลายคนซึ้งและอมยิ้มไปพร้อมๆกับความรักของพวกเขาก็ได้ค่ะ ”

ผู้กำกับพูดถึงรถเมล์: ตั้งใจไว้ว่าอยากจะให้เป็นเหมือน อรัญญา นามวงศ์ น้องเขารับบทเป็นแฟนของต๋อย (โจอี้) เป็นแอร์โฮสเตส แต่ด้วยยุคนั้นศิลปินดารานักร้องมีแฟนไม่ได้เพราะจะเสื่อมความนิยม คนเหล่านี้จะเก็บกด ไปไหนด้วยกันไม่ได้ แสดงตัวไม่ได้ ผมเขียนบทขึ้นมาจากตัวน้องรถเมล์เลยอยากร่วมงานกับน้องเขา ผมมองไปถึงที่เขาต้องเล่นตอนแก่ด้วยอยากให้ออกมาเป็นคุณกมลา สุโกศล อายุเยอะแล้วแต่ก็ยังดูแลตัวเองอย่างดี ดูเท่ห์ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย

เก๋า Tester : ...คำว่า เก๋า ทำให้หนูนึกถึงทุกอย่างที่กวนๆออกแนวยโส โอหัง นิดนึงตัวหนูขอไม่เก๋า ดีกว่า....

โฟกัส จิระกุล

โฟกัส รับบทเป็น หนูมาลี เป็นตัวละครในยุคปัจจุบันที่วงนี้ข้ามเวลามาเจอ ผมเขียนบทมาจากตัวโฟกัส จริงๆแล้วตัวละครนี้น่าจะอายุมากกว่านี้หน่อย แต่ถ้าเราเอาผู้หญิงที่ดูโตกว่านี้มาเล่นก็จะไปซ้ำๆกับอีกหลายๆเรื่อง ก็เลยเขียนให้โฟกัสดูโตและเข้มแข็งขึ้นกว่าน้อยหน่าในแฟนฉันนิดหน่อย

รับบท หนูมาลี

ตำแหน่งในวง Possible เป่าแชคโซโฟน

อาชีพแบบ Possible ลูกพ่ออำนวยอดีต สมาชิกในวงผู้ล่วงลับ

วัน/เดือน/ปีเก๋า 14 กุมภาพันธ์ 2536

ส่วนสูง/น้ำหนัก 160 ซม./49 กก.

เชื้อชาติ/สัญชาติ ไทย / ไทย

ศาสนา พุทธ

การศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 2 ร.ร.เบญจมราชาลัย

ความใฝ่ฝัน อยากเป็นนางสาวไทย

พี่น้องกอดคอกันเก๋า ลูกสาวคนเดียว

นิสัย เก๋า..เก๋า ร่าเริง เข้ากับคนง่าย

สไตล์การแต่งเก๋า เสื้อยืด กางเกงยีนส์

ของสะสม หนังสือการ์ตูน / ตุ๊กตาบาร์บี้ / Harry Potter แก้วน้ำในโรงภาพยนตร์

สถานที่โปรด ห้างสรรพสินค้า

อาหารจานโปรด KFC

กีฬาโปรด ว่ายน้ำ / แบดมินตัน

แนวเพลงที่ชอบ ทุกแนว

ศิลปินที่ชอบ แคทรียา อิงลิช / มอส ปฎิภาณ

เพลงที่ชอบ Close to you

ความสามารถทางด้านดนตรี ตีกลอง / เปียโน / ขลุ่ย

ผลงาน ภาพยนตร์แฟนฉัน   ละครครูไหวใจร้าย   ละครแก๊งค์สืบ07

ปัจจุบัน ละครเจ็ดมหัศจรรย์ / พิธีกร U school ช่อง In trend ผีเลี้ยงลูกคน / ภาพยนตร์เรื่อง เก๋า..เก๋า

รางวัลที่เคยได้รับ เยาวชนดีเด่นด้านศิลปะและดนตรี

รางวัลนักแสดงภาพยนตร์ไทย หญิงยอดเยี่ยม

คติเก๋า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
 

 

 

Everything you want to know about Thai film, Thai cinema
edited by Anchalee Chaiworaporn อัญชลี ชัยวรพร   designed by Nat  
COPYRIGHT 2004 http://www.thaicinema.org. All Rights Reserved. contact: ancha999 at gmail.com
By accessing and browsing the Site, you accept, without limitation or qualification, these copyrights.
If you do not agree to these copyrights, please do not use the Site.