หลายเดือนนี้ต้องเขียนบทความเกี่ยวกับหนังไทยค่อนข้างเยอะ ขณะที่เขียนก็นึกอยู่ เอ้อ ทำไมเราไม่เขียนเป็นภาษาไทยบ้างนะ อ่านมาตั้งเยอะ เอามาใช้แค่ 6,000 - 7,000 คำเอง อีกอย่างที่อ่านมานั้น ถ้าแบ่งให้คนไทยบ้าง ก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย เผอิญไปรู้มาว่ามีคอหนังเป็นแฟนเว็บเยอะ ยังไงถือว่าเป็นการปูพื้นฐานภาพยนตร์ศึกษา หรือ film studies บ้านเราดีกว่า
ที่มันต้องเป็น "ก้มหน้าอ่าน เงยหน้าดู" เพราะเวลาเรียนหนังจริง ๆ นั้น ต้องใช้ทั้ง 2 อย่างคู่กัน ต้องอ่านตำราคู่ไปกับดูหนัง บางครั้งต้องอ่านหนังสือมากกว่าดูหนังเสียอีก เพราะต้องเอาทฤษฎีมาใช้ ก้มหน้าก้มตาอ่านลูกเดียว ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นวิธีการพื้นฐานของการเรียนหนังเลยก็ได้
เรื่องแรกที่จะมาเล่าให้ฟังครั้งแรกนี้ ก็คือ ฟิลม์นัวร์ กับ หนังไทย
ตอนที่จะเริ่มวิเคราะห์นั้น ไปค้นตู้หนังสือของตัวเอง แล้วก็แปลกใจว่าตัวเรานี้ขนหนังสือฟิลม์นัวร์กลับจากอังกฤษเยอะมาก มากกว่าแนวอื่น ๆ อีก นึกไปนึกมาก็จำได้ว่าตัวเองหลงเสน่ห์ฟิลม์นัวร์ค่อนข้างมาก เพราะมันมีความหมายทางสังคมเยอะ ตัวเองทำงานเอ็นจีโอมาก่อน ก็เลยชอบอะไรแบบนี้ ฟิลม์นัวร์นี่มันเข้าท่านะ เท่ดีมีทั้งสไตล์และความหมาย
ฟิลม์นัวร์เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากในต่างประเทศ บ้านเราเข้าใจความหมายของฟิลม์นัวร์เพียงอย่างเดียว เป็นเพียงตระกูลหรือ genre ของหนังเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว เขาถกกันมานานแล้ว ว่าฟิลม์นัวร์ไม่ได้เป็นตระกูลภาพยนตร์ แต่เป็นการเคลื่อนไหวในช่วงหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1941 1958 หรือ ตั้งแต่หนังเรื่อง The Maltese Falcon จนถึง Touch of Evil และต้องหมายถึงหนังฮอลลีวู้ดเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วถือว่าไม่ใช่ฟิลม์นัวร์
ที่เขาบอกว่ามันจบไปแล้ว เพราะกำเนิดของฟิลม์นัวร์อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น ซึ่งภาวะสังคมอเมริกันตอนนั้นมันเอื้ออำนวยที่จะทำให้เกิดภาพยนตร์แบบนี้ ฮอลลีวู้ดขาดแคลนฟิลม์ที่จะเอามาใช้ถ่ายหนัง ต้องเอาฟิลม์ขาวดำมาใช้ ภาพก็เลยนัวร์ ๆ อย่างที่เห็น
ส่วนทางสังคม เขาบอกว่า หลังสงครามโลกเป็นช่วงที่ทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะลำบาก ผู้คนเกิดความกดดันมากมาบ ทำให้เกิดหนังที่แสดงด้านมืดของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคอรัปชั่น ตัวละครที่มีบุคลิกแปลก ๆ มีปัญหาทางจิตใจ
|
|
The Cinema Book ของ Pam Cook and Mieke Bernink |
Film Noir Reader เล่มนี้รวบรวม
ทั้งคลาสิคนัวร์ และนีโอนัวร์ |
เขาถึงกับมองว่า ช่วงหลังสงครามโลกนั้น อเมริกาจะต้องเริ่มฟื้นฟูตัวเองครั้งใหญ่ อเมริกาอาจจะไม่เคยเป็นฉากรบของสงครามจริง ๆ (ยกเว้นก็อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์) แต่เขาก็ส่งคนไปรบเยอะ สูญเสียกำลังของชายผิวขาวมากมาย ประกอบกับต้องฟื้นฟูประเทศเสียใหม่ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดึงคนนอกกรุงมาทำงานในเมืองหลวงมากขึ้น ทีนี้ ชายผิวขาวตายไปเยอะ ก็เลยเริ่มดึงแรงงานชายผิวดำ กับผู้หญิงเข้ามาทำงาน มีนักวิเคราะห์บางคนถึงกับมองว่า ถ้าจะดูให้ดี หนังฟิลม์นัวร์ในยุคแรก ๆ จะไม่มีตัวละครผิวดำเลย ทั้งที่ตอนนั้นพวกเขาเริ่มเข้ามาทำงานในเมืองแล้ว ขณะที่ตัวละครผู้หญิงในฟิลม์นัวร์ ก็ถูกเสนอให้เป็นนางตัวร้ายที่เราเรียกกันว่า femme fatale ก็เพราะพวกผู้ชายผิวขาวเขากลัว กลัวผู้หญิงและชายผิวดำจะมายึดพื้นที่ของตน โอ้ย! ตรงนี้ชอบมากเลย
จริง ๆ แล้ว ลักษณะของฟิลม์นัวร์นั้นจะต้องมีทั้งสไตล์และเนื้อหา บ้านเราจะเน้นเชิงสไตล์เป็นหลัก ประเภทมืด ๆ ฝนตก แต่เนื้อหาจะยึดเพียงบางส่วนเท่านั้น พวกด้านมืดในจิตใจ แต่จริง ๆ แล้ว ฟิลม์นัวร์จะต้องเป็นเรื่องสังคมเมือง ผู้ชายจะต้องอ่อนแอ ผู้หญิงต้องร้าย เหงา ตัวละครคลุมเครือ เป็นพวกอัตถวภวนิยม (existentialism) อันนี้ชอบมาก เพราะเคยพยายามเป็นพวก existentialist ไม่เอาครอบครัว ไม่เอาเมืองไทย ร่อนเร่ เดินทางไปเรื่อย ๆ ขอทุนลูกเดียว แต่ไปไม่รอด ต้องกลับมาขอข้าวแม่กินเหมือนอย่างเคย แหะ แหะ
เขาบอกต่ออีกว่า ที่มันเรียกว่า นัวร์ เพราะพวกที่เรียกมันว่านัวร์เป็นพวกแรก ก็คือพวกนักวิจารณ์ฝรั่งเศสนั่นเอง เอาไว้จะเขียนถึงกลุ่มนี้บ้าง เพราะทฤษฎีภาพยนตร์ หรือแนวหนังสำคัญ ๆ ของโลก ล้วนเกิดจากประเทศนี้ก่อนทั้งสิ้น
สำหรับหนังไทยในฟิลม์นัวร์นั้นมีน้อยมาก จนตั้งชื่อบทความไว้ว่า Almost Absent : the World of Noir in Thai Cinema ตัวเองเน้นศึกษาเฉพาะหนังรุ่นใหม่ ตั้งแต่หนัง New Thai Cinema ได้มาประมาณ 10 เรื่อง ครึ่งหนึ่งเป็นพวกรักษาต้นฉบับฟิลม์นัวร์แบบคลาสิค เพราะฉะนั้นจะเห็น femme fatale มีฝนตก
แล้วก็มีอยู่ 4 เรื่องที่เป็นพวกนีโอนัวร์ บางคนก็ท้าท้ายโครงสร้างฟิลม์นัวร์เก่า บางพวกก็ไม่ท้าทาย แต่ที่งานมันดูไม่เหมือนแบบเก่า เพราะเผอิญไปเอางานของเฮียหว่องมาใช้บ้าง จอห์นวูบ้าง ก็เลยเป็นฟิลม์นัวร์แบบโพสต์โมเดิร์น
ตอนดูหนังนั้น เราก็สงสัยว่าเอ เรื่องนี้มันจะเข้าฟิลม์นัวร์ได้ไหม บางเรื่องมันก็มืด ๆ แต่มันไม่เข้าข่ายเท่าไร เพราะมันดูเป็นหนังตลกมากกว่า บางเรื่องก็ดูเหมือนจะใช่ แต่มันไม่มืด
ตอนหลัง ก็เลยใช้วิธีตรวจสอบขั้นพื้นฐาน คือ หนังฟิลม์นัวร์มันมืดมน ถ้าเรื่องไหน เราต้องปิดม่านเยอะ ๆ อันนี้ผ่านขั้นตอนแรก ถ้าดูจนจบแล้ว มันทำให้เราเศร้าอีก โอ้! ใช่เลย เสร็จแล้วก็ค่อยมาดูวิธีการต่อ
ปีนี้มีคนพยายามจัดเทศกาลหนังฟิลมนัวร์ของหนังเอเชียที่ สเปน กันสิงคโปร์ ซึ่งเขาพยายามรวมของไทยไว้ด้วย แต่ไม่รู้จะได้ผลอย่างไรกันบ้าง มีความคืบหน้าอะไร จะมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ
ก็พอหอมปากหอมคอนะ เอาไว้จะเขียนเป็นเล่ม ๆ จะได้ถกเถียงกันต่อค่ะ ตอนนี้ถ้าใครสนใจฟิลม์นัวร์ ขอแนะนำหนังสือต่อไปนี้ให้ไปอ่านก่อน
|
|
Women in Film Noir ให้ภาพในมุมมองเฟมินิสต์ |
In A Lonely Street
วิเคราะห์ตัวละครชายในหนังฟิลม์นัวร์ที่ได้ชื่อว่าอ่อนแอ และเหงา ...เศร้า
|
ตัวเองใช้ 4 เล่มนี้เป็นหลัก แล้วก็มีอีกชิ้นที่พูดถึง neo - noir เพียงอย่างเดียว แต่ตอนนั้นไม่ได้้ั้ซื้อมาทั้งเล่ม ซีร็อกมาแค่บทเดียว ก็เลยไม่มีภาพหน้าปกจ้า |