พูชอนอาจจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าเทศกาลหนังพูซาน แต่ก็เป็นที่รู้จักในบ้านเรามานานแล้ว เพราะมีหนังไทยเดินทางไปร่วมงานด้วยทุกปี โดยมี ฟ้าทะลายโจรกับบางกอกแดงเจอรัสไปฉายเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2544 ก่อนที่จะตามมาด้วย 999 ต่อติดตาย, บุปผาราตรี, ผี, ปิศาจ, บอดี้การ์ด และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีหนังไทยที่เคยได้รับรางวัลที่นั่น ดังนี้
ฟ้าทะลายโจร ได้รับรางวัลจูรี่ไพรซ์ เมื่อปี 2001
บุปผาราตรี 2 ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม จากการแสดงของเด่น เด๋อ ดู ดี๋ เมื่อปี 2005
13 เกมสยอง ได้รับรางวัล best director, European Asian Award
ด้วยความที่เทศกาลมีหนังไทยไปฉายแต่ละปีในจำนวนค่อนข้างมาก อดทำให้นึกไม่ได้ว่านี่น่าจะเป็นเทศกาลหนังที่ค่อนข้างใหญ่ แต่เอาเข้าจริงแล้ว พูชอนเป็นงานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย แต่อยู่ในระดับเดียวกับเทศกาลหนังฟาร์อีสท์ที่อูดิเน่ อิตาลี คือ เน้นผู้ชมมากกว่าคนในวงการหนัง ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ได้รับการคัดเลือกมาก็เพื่อผู้ชมทั่วไป มากกว่าคอหนังอาร์ต แต่อูดิเน่จะมีโรงหนังแค่ 2 แห่ง โรงหนึ่งฉายหนังทุกเรื่อง ส่วนอีกโรงฉายหนังในสายรีโทรสเป็คทีฟ เพราะฉะนั้นทุกคนก็มักจะมารวมกันที่โรงใหญ่เพียงโรงเดียวเป็นส่วนใหญ่ กิจกรรมก็มีทุกวัน มีสัมมนา ผู้กำกับหรือดาราที่มาก็จะมีช่วงพบสื่อ แถมด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ก็จะเลี้ยงดูปูเสื่อแขกที่มาในงานทุกมื้อ ยังไงก็เจอหน้ากันวันละหลายหน
ในขณะที่พูชอนจัดงานค่อนข้างจะกระจัดกระจาย โรงหนังหลักถึง 4 แห่ง ยังไม่นับโรงเฉพาะกิจที่ฉายหนังอีก 1-2 แห่ง กิจกรรมค่อนข้างน้อย ยากต่อการรวมแขกไว้ด้วยกันหรือจะเจอหน้าเจอใครที่เคยเห็นหน้าค่าตากันอยู่เป็นประจำเวลาไปเทศกาลต่าง ๆ ยกเว้นว่าจะเผอิญมาดูหนังโรงเดียวกันพอดี เรียกได้ว่าแต่ละคนมีตารางเป็นเอกเทศสูงมาก
เทศกาลหนังค่อนข้างยาวนานถึง 11 วัน แต่มีกิจกรรมไม่มากนัก ทำให้แขกที่มาร่วมงานก็มากันแบบกระจัดกระจายไปด้วย บางคนก็มาในช่วงงานเปิด แล้วก็อยู่งานเพียงครึ่งแรก ขณะที่อีกกลุ่มจะมาในช่วงครึ่งหลังตั้งแต่มีงานกึ่งตลาดที่เรียกว่า Network of Asian Fantastic Films ซึ่งจะเป็นการพบปะกันระหว่างคนทำหนังโปรเจ็คใหม่ ๆ กับแหล่งทุน เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลต่างคนต่างไป ถ้าคิดว่าจะมาเจอคน เจอเพื่อน คงเป็นได้ยากหน่อย ถ้าไม่ได้มีการนัดหมายกันจริง
แต่ข้อดีของเทศกาลหนังนี้ก็คือ คนดู หนังแต่ละเรื่องฉายกัน 4-5 รอบ ในโรงขนาดกลางจุคนดูได้ 100 คนขึ้นไป ถ้าเรื่องไหนฉายรอบเช้า รอบหลัง ๆ ก็จะฉายรอบเย็น ๆ ที่จะมีคนดูเยอะ ก็เรียกได้ว่าหนังทุกเรื่องมีคนดูแน่ ๆ โดยเฉพาะรอบเย็น ๆ นั้นมีคนดูถึง 80 เปอร์เซนต์ก็ว่าได้
หนังส่วนใหญ่ที่คัดเลือกเข้ามามักจะเป็นหนังกระแสหลักที่ดูง่าย ถ้าเป็นพวกหนังยุโรปหรือหนังฮอลลีวู้ด อาจจะรวมไปถึงหนังอินดี้กันอยู่บ้าง ประเภทที่ลงทุนไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะผูกโยงกับหนังผี หนังเลือดสาดกันเป็นหลัก บางครั้งก็เห็นหนังตลกอยู่บ้าง อาจจะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก คงมองกันว่าเป็นแฟนตาซีกระตุกต่อม แต่อาจจะมีหนังประเภทอื่น ๆ บ้าง อย่างหนังครอบครัวที่จะฉายในสายหนังประเภทนี้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ Suckseed ห่วยขั้นเทพ ได้ไปฉายที่นั่น แล้วก็หนังแอนิเมชั่นในสาย AniFanta หนังพวกนี้เหมือนหนังพักสายตาไปโดยปริยาย
ปีนี้หนังที่ได้รับการคัดเลือกมาก็มีทั้งหนังดี หนังไม่ดี แต่สายที่น่าสนใจคือ สาย Retrospectives หรือ Homage
และโปรแกรมพิเศษชื่อว่า J-Horror The Last Chapter ซึ่งรวมหนังผีชุด Kaidan Classics ซึ่งเป็นตำนานหนังผีคลาสิคของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายทศวรรษ พร้อมกับหนังผีนาคาตะ ฮิเดโอ เจ้าของผลงาน The Ring ซึ่งฉายโชว์ในงานนี้ พร้อมกับผลงานก่อนหน้านั้นอย่าง Don't Look Up
สำหรับหนังในสายประกวดนั้น ในช่วงห้าหกปีหลัง ทางเทศกาลได้รวมหนังจากทั่วโลกมาเข้าร่วมประกวดด้วย รางวัลส่วนใหญ่ก็ถูกหนังจากทางตะวันตกกวาดไป
Joko Anwar ผู้กำกับจากอินโดนีเซีย ซึ่งเคยชนะรางวัลพูชอน และมีโปรเจ็คหนังใหม่ใน IT Project
แต่มีส่วนหนึ่งซึ่งไม่เคยมีหนังไทยเข้าร่วมโครงการเลย เขาเรียกกันว่า IT Project นั่นก็คือ เป็นการให้เจ้าของโปรเจ็คหนังใหม่ได้มาพบปะกับแหล่งทุน ปีนี้มีโครงการที่ได้รับการคัดเลือกมาทั้งสิ้น 18 เรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังเกาหลี ส่วนเพื่อนบ้านเรานั้นมีเพียงอินโดนีเซียและมาเลเซียเท่านั้น ไม่เคยมีของไทย ซึ่งคาดว่าเพราะไม่มีคนส่งมากกว่า ก็เลยถือโอกาสบอกกล่าวเผื่อใครสนใจจะส่งงานได้
ในช่วงของการพบปะนี้ ก็จะมีการสัมมนาทางธุรกิจหลายอย่าง ซึ่งก็น่าสนใจที่จะได้ฟังอะไรเกี่ยวกับความคืบหน้าทางธุรกิจไป มีการฉายหนังประเภทนี้สำหรับผู้ที่สนใจจะซื้อหนังที่นี่ เขาเรียกกันว่า เครือข่ายหนังแฟนตาซี หรือ Network of Asian Fantastic Films คล้าย ๆ ตลาดขายหนัง แต่จะไม่มีบูธของพวกบริษัทหนังมาตั้งเท่านั้น คงมีแต่เพียงฉายหนังและเจรจาซื้อขาย
นอกนั้นก็จะเป็นกิจกรรมสำหรับคนเกาหลีเสียมากกว่า อาทิ การอบรมเกี่ยวกับภาพยนตร์แฟนตาซี ตั้งแต่การหาทุน การสร้างและการจัดจำหน่ายต่าง ๆ เรียกกันว่า Fantastic Film School
โรงแรมที่พักดูหรู แต่เป็นโรงแรม Love Hotel ด้วย
พูชอนเป็นเทศกาลหนังขนาดประมาณเทศกาลหนังร็อตเตอดัม เพียงแต่ว่าลักษณะงานจะกระจัดกระจาย เพราะไม่มีตึกรวมของงานเหมือนอย่างร็อตเตอดัม ซึ่งเป็นศูนย์รวม ยากที่จะเจอใครก็ทำได้ง่าย เพราะมีลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่ แถมโรงหนังบางแห่งก็อยู่ใกล้ ๆ ในระยะเดินได้ ขณะที่ศูนย์รวมมากที่สุดของพูชอนเป็นโรงแรม ซึ่งมีลักษณะเป็นห้อง ๆ ทำให้โอกาสที่จะเจอกันนั้นค่อนข้างยาก โรงหนังก็อยู่กระจายออกไป
อีกเหตุผลหนึ่ง พูชอนอยู่ชานเมืองโซลออกมาที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ไม่ได้เป็นเมืองอุตสาหกรรมอะไร หรือเป็นเมืองใหม่ใหญ่โต ที่นี่จึงไม่มีอะไรมากนัก ไม่มีแม้กระทั่งโรงแรม 5 ดาว โรงแรมย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Love Hotel ชั้นสูงที่คนในโซลแอบมาใช้ชีวิตชั่วคราว เพราะไม่อยากให้ใครเห็น
แต่ถ้าคุณอยากจะไปดูหนังประเภทนี้ นี่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ส่วนการสร้างเครือข่ายนั้น อาจจะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางเทศกาลมากขึ้น คงเพียงอาศัยการเจอหน้าเจอตาเท่านั้นคงไม่พอ
|