ในช่วงเวลาเดียวกับเทศกาลหนังกรุงเทพเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้นั้น บรรดาผู้คนในวงการหนังนานาชาติ ต่างพากันปวดเศียรเวียนเกล้ากับสองเทศกาลหนังในเอเชีย ที่มาจัดพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ขณะที่เทศกาลหนังกรุงเทพเริ่มงานวันที่ 19 29 กรกฎาคม เทศกาลหนังโอเชียน ซีเนฟาน ก็เริ่มงาน 20 - 29 ผลก็คือทำให้นักท่องเทศกาลบางคนต้องวิ่งรอกระหว่างสองเทศกาล ขณะที่บางคนก็ต้องเลือกเพียงงานเดียว
ส่วนฉันนั้นปฎิเสธเขาไปตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าจะต้องมาตามเทศกาลหนังกรุงเทพ เผอิญเดือนนั้นต้องเดินทางเยอะ แต่ตอนหลังต้องตกปากรับคำไป เพราะเห็นแก่เพื่อนชาวฟิลิปปินส์ที่เป็นโต้โผใหญ่ในการจัดงานสัมมนา กำหนดหนังในเอเชีย แต่จะขออยู่แค่สองวันเท่านั้น
เมื่อถึงใกล้งาน คราวนี้ต้องเปลี่ยนใจ ขออยู่ต่ออีกวัน เพราะเห็นรายชื่อแขกที่มาร่วมงานเข้า ทั้งสองเทศกาลเลือกหนังในระดับใกล้เคียงกัน แต่เขาเชิญแขกได้ดีกว่าเทศกาลหนังกรุงเทพ โดยเฉพาะในสายไดเร็คเตอร์จากเทศกาลหนังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปูซาน จองจู มิวนิค โตเกียว เอสโตเนีย รวมทั้งชื่อนักวิจารณ์ดัง ๆ อย่างดิเรก มัลคอล์ม (จากอังกฤษ) เคลาส์ เอเดอร์ (เยอรมนี) รัสเซล เอ็ดเวิร์ด (ออสเตรเลีย) ทาดาโอะ ซาโต้ (เพื่อนสนิทคุณเชิด ทรงศรี) มาร์ค ชิลลิ่ง (ญี่ปุ่น) คริส ฟูจิวาร่า (ญี่ปุ่น) อีกทั้งบรรดานักวิชาการหนังชื่อดังจากมหาวิทยาลัยเยล จากเกาหลีใต้ โอ้ย! จาระไนไม่หมด
เจ้ย อภิชาติพงศ์ไปเป็นกรรมการตัดสินในสายหลักอย่างที่เคยรายงานไปแล้ว ฉันไปทันงานเปิดพอดี เห็นเจ้ย
อยู่ไกล ๆ แต่ยังไม่ทันคุยกัน มัวแต่จ้อกับเพื่อน ๆ เสร็จแล้วก็รีบเข้านอน ต้องเตรียมพูดในอีกสองวันข้างหน้า
งานสัมมนาจัดแต่เช้า เจ้ยมาช่วยนั่งฟัง เพราะคิดว่าฉันพูดวันแรก แต่ฉันพูดวันที่สอง ซึ่งเจ้ยไม่ว่างพอดี ฉันบอกไม่เป็นไร จริง ๆ แล้ว ฉันยังขี้อายมากที่ต้องพูดในที่สาธารณะน่ะ
สำหรับงานสัมมนาเรื่อง กำเนิดหนังในเอเชีย นั้น ก็มีผู้เชี่ยวชาญจากเยล อังกฤษ ชื่อ สตีเฟ่น บัทเทิลมอร์ ซึ่งเผอิ๊ญเผอิญอยู่เชียงใหม่บ้านเราพอดี นอกนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละประเทศ ได้แก่ ตุรกี เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ศรีลังกา อินเดีย อิหร่าน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
ความจริงแล้ว คนไทยที่เชี่ยวชาญกำเนิดหนังยุคเริ่มแรกของไทย มีพี่โดม สุขวงศ์ และชลิดา เอื้อบำรุงจิต เราทั้งสองคนเคยได้รับเชิญไปงานสัมมนาครั้งแรกพร้อมกัน แต่ชลิดายุ่งมาก ไม่มีเวลาเขียนบทความให้ ก็เลยมีฉันไปอยู่คนเดียว ส่วนฉันสนใจเพียงเรื่องเดียวล่ะค่ะ คือ อิทธิพลของสถาบันกษัตริย์ในยุคก่อกำเนิดของภาพยนตร์ ถ้าให้พูดเรื่องอื่นก็เป็นใบ้เหมือนกัน
เมื่อต้องมาพูดในเวทีนั้น ปรากฎว่าของไทยเราโดดเด่นเลยค่ะ เพราะหนังยุคแรกของประเทศอื่นล้วนเริ่มโดยชาวต่างชาติ หรือพวกนักธุรกิจ เพื่อนบ้านเราต่างตกเป็นเมืองขึ้นในตอนนั้น ของไทยเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็เลยเริ่มบุกเบิกโดยสถาบันกษัตริย์ ที่น่าสนใจก็คือ กำเนิดหนังของเราพอดีอยู่ในช่วงที่การต่อสู้ความคิดทางการเมืองกำลังคุกรุ่นทั้งในและนอกประเทศ ฝรั่งก็อยากจะเอาเราเป็นเมืองขึ้น ขณะที่คนไทยก็ต้องการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นประชาธิปไตย ภาพยนตร์ก็ถูกใช้เป็นสื่อในการต่อสู้อำนาจทางการเมืองเหมือนกัน
พูดเรื่องเครียด ๆ ขอจบแค่นี้ เดี๋ยวไม่สนุกกัน
|
พูดจบ ตามกำหนดการเดิมฉันต้องไปกินข้าวเที่ยงกับทีมแขกรับเชิญ แต่หนัง แสงศตวรรษ กำลังจะฉายที่สมาคมฝรั่งเศส อีกเวทีหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลออกไป ตอนนั้นรถรับส่งก็ไม่อยู่ ฉันรีบซิ่งตุ๊กตุ๊กไปทันที
ช้าไป 10 นาที แต่เครดิตหนังเพิ่งขึ้น แค่คำว่า Fortissimo Films เท่านั้น เฮ้อ โชคดี ยังทัน สักพัก เห็นเจ้ยเดินออกไปในความมืด พร้อมกับผู้ติดตาม ก็รู้ว่าช่วงแนะนำหนังผ่านไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ทำให้เราได้ดูหนังทันพอดี
คนดูค่อนโรง ส่วนใหญ่ก็จะชอบกันนะ หัวเราะกันใหญ่ ไม่ค่อยมีใครเดินออก
พอหนังจบ ฉันพยายามมองหาคนดูที่เป็นชาวอินเดีย เพราะเขานับถือพุทธเหมือนบ้านเรา อยากสัมภาษณ์เขาในความรู้สึกว่า เห็นอย่างไรกับฉากที่เซ็นเซอร์บ้านเราไม่ยอมให้หนังผ่าน โดยเฉพาะ ฉากพระเล่นกีตาร์ ปรากฎว่าคนดูส่วนใหญ่จะวิ่งรอกไปยังโรงหนังอีกแห่ง ส่วนคนที่นั่งรถกลับไปพร้อมกับฉัน ก็ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ |
บริเวณโรงหนังใหญ่ที่สุด |
|
เจ้ยจะต้องขึ้นเวทีพูดเรื่องหนังอินดี้อีกสองวันถัดมา แต่ฉันจะต้องกลับมากรุงเทพแล้ว แถมรอบฉาย แสงศตวรรษ อีกรอบ และพลอย ทั้งสองรอบ ก็ฉายตอนที่ฉันต้องกลับไปแล้ว ก็เลยอดตามกระแสของชาวบ้านร้านช่องให้ประชาชนทราบไป
พวกแขกรับเชิญค่อนข้างชอบเจ้ยนะ ไม่รู้ว่าเพราะฉันเป็นคนไทยหรือเปล่า Tina Lock ไดเร็คเตอร์จากเทศกาลหนังเอสโตเนีย ประทับใจเจ้ยมาก เธอไม่รู้จักว่าเจ้ยเป็นใคร ฉันต้องเป็นคนบอกเธอเองว่า เทศกาลหนังของเธอน่ะ ฉายหนังเจ้ยทุกปี แถมคนดูเต็มโรงอีกต่างหาก เธอก็เลยเพิ่งจะนึกได้ เธอบอกว่า เจ้ยขี้อาย แต่ฉันบอกว่า เจ้ยเป็นคนถ่อมตัวต่างหาก
ฉันแนะนำป๋าเคลาส์ เอเดอร์ เลขาธิการ fipresci ให้รู้จักกับเจ้ย ก็ตามประสาป๋า แกจะทำหน้าเฉย ๆ แต่ตอนหลังก็แอบมาถามว่า ชื่อเจ้ยต้องออกเสียงอย่างไร ถึงจะถูก เท่านั้นแหล่ะ ฉันรู้ว่าป๋าแกก็สนใจแล้วล่ะ นิสัยอย่างป๋า ถ้าแกไม่สนใจ แกไม่ถาม
|
คนที่ใส่เสื้อสีฟ้า คือ ดิเรก มัลคอล์ม นักวิจารณ์หนังสือพิมพ์ Guardian จากอังกฤษ และขวา (เสื้อขาว) คือ เคลาส์ เอเดอร์ เลขาธิการ fipresci ซึ่งตัดสินให้รางวัลกับ พลอย เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม |
ก็รายงานให้ฟังกันสั้น ๆ นะคะ กับรูปเพียงไม่กี่รูป คือ หลัง ๆ นี่ สายตาเริ่มมีปัญหา ก็เลยถ่ายรูปไม่ดีเหมือน 20 ปีก่อน ตอนนี้ชมภาพกันตามสะดวก
|
บริเวณหน้าโรงหนังอีกแห่ง |
|
|
|
เคาน์เตอร์ที่ทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ขายของที่ระลึก ยันต้อนรับแขก
|
|
|
นิทรรศการโปสเตอร์ |
|