DAY 5
Map To the Stars เบื้องหลังมายาฉบับวิ่งวน
เป็นงานหนังของเดวิด โครเนนเบิร์กที่ขนดาราดังมากันเพียบ ไม่ว่าจะเป็นจูเลี่ยน มัวร์ โรเบิร์ต แพตติสัน จอห์น คูแซค และมีอา วาสิเคาสกา กับการเปิดเผยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ไปเกี่ยวข้องกับวงการฮอลลีวู้ด เป็นหนังปั่นป่วนด้วยเรื่องเล่าและพล็อตที่เงื่อนงำยอกย้อนไปมา ตามสไตล์ของโครเนนเบิร์กเขา แต่เมื่อมาถึงตอนจบ ทุกอย่างมันวิ่งกันมาเป็นก้อนกลมและคลี่คลายออกมาในที่สุด
แซนฟอร์ด ไวส์เป็นนักบำบัดจิตทางทีวีชื่อดัง ที่มีลูกค้าระดับฮอลลีวู้ดจำนวนมากมาย นอกจากเรื่องราวของหนังจะไปวกวนอยู่กับชีวิตของเหล่าดาราอันปั่นป่วน ฉงนฉงายอย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ ครอบครัวของแซนฟอร์ดก็มีความลับบางอย่างที่วุ่นวายอยู่ไม่น้อย คริสติน่าภรรยาของเขาคงทำหน้าที่เมียและแม่ที่ดี คอยดูแลลูกชายเบนจี้วัยสิบสาม ผู้ที่เริ่มมีวี่แววที่จะเติบโตเป็นนักแสดงดังได้ในอนาคต ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่มีฝันแปลก ๆ เข้ามาเป็นประจำในชีวิต ฝันถึงพี่สาวคนหนึ่งที่จากหายไป
ขณะเดียวกัน เด็กสาวผู้สมัครมาเป็นเลขาส่วนตัวของดาราสาวจิตเพี้ยนฮาวาน่า ซีแกรนด์ ที่ดูจะเป็นที่รักใคร่กับนายจ้างเป็นอย่างเดียว ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่มายุ่งย่ามกับชู้รักที่เธอพบเมื่อเริ่มเดินทางเข้ามาสู่ฮอลลีวู้ด เรื่องมันปั่นป่วนยิ่งเข้าไปอีกเมื่อคริสติน่าภรรยาของแซนฟอร์ด เผชิญหน้ากับแม่เลขาคนใหม่ของฮาวาน่า เพียงที่จะบอกเธอว่าให้ออกไปจากชีวิตของครอบครัวพวกเขา
หนังดีกว่าเรื่องที่แล้ว Cosmopolis ของโครเนนเบิร์กขึ้นมาก และคงสไตล์ในเรื่องความยอกย้อน กำกวมของเรื่องที่ดำเนินเป็นก้อนกลม เมื่อเปิดเผยในตอนจบ แต่มันมีอยู่แค่นั้น รายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดดเด่นหน่อยคือการแสดงของเหล่าดารา โดยเฉพาะจูเลี่ยน มัวร์
Le Meraviglie (The Wonders) นีโอเรียลลิสต์ฉบับผู้หญิง
หนังอิตาเลียนเล็ก ๆ เรื่องนี้ เป็นหนังนอกสายตาผู้จัดอยู่เล็กน้อย เมื่อไม่มีการจัดฉายรอบสื่ออย่างจริงจัง โดยให้สื่อไปดูรวมกับรอบปรกติ ซึ่งฉายเพียงรอบเดียวในเวลาบ่าย แม้การจัดฉายที่สุดแสนจะจำกัดจำเขี่ยนี้ ก็มิได้คนเข้าไปแย่งกันดูอะไรมากนัก
The Wonders เป็นหนังเรื่องที่สองของผู้กำกับหญิงสามสิบสาม Alice Rohrwacher ก่อนหน้านี้เธอมีผลงานภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Checosamanca และหนังเรื่องแรก Corpo Celeste พอมาเป็นผลงานเรื่องยาวที่สอง งานของเธอจึงมีลักษณะเหมือน neorealist อยู่กลาย ๆ ไม่มีประดิษฐ์หรือเสแสร้ง หนังมีลักษณะเหมือนจริงอยู่ไม่น้อย
เรื่องเล่าในช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนของเด็กพี่น้อง 3 คนในครอบครัวซึ่งมีอาชีพเก็บน้ำผึ้ง พ่อไม่มีเวลาดูแลลูก ๆ มากนัก เพราะภารกิจการทำงาน เขาเป็นคนเคร่งเครียดที่ยุ่งเหยิงตลอดเวลา ส่งผลให้ชีวิตของเด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนั้น แล้วจู่ ๆ เด็กชายชาวเยอรมันชื่อมาร์ตินก็เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่พ่อวางไว้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เด็ก ๆ พากันเข้าร่วมประกวดการแสดงทางโทรทัศน์ที่ชื่อว่า "Village Wonders เพียงเพื่อที่จะพบว่าการแสดงของเขากลายเป็นเรื่องตลก ...แต่นั่นมิใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเขาจะพานพบในที่สุด
เป็นหนังเล็ก ๆ ที่มีการเล่าเรื่องลงตัว ทั้งบท การแสดง และรายละเอียดต่าง ๆ Rohrwacher เป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองอย่างถึงที่สุดในอนาคต
The Homesman - road movie แบบเฟมินิสต์จากชายหน้ายับที่ชื่อทอมมี่ ลี โจนส์
ทอมมี่ ลี โจนส์อาจจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงชั้นนำของโลกฮอลลีวู้ด แต่เขาก็เคยกำกับหนังอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Three Burials of Melquiades Estrada ที่เขากำกับเอง แสดงนำเอง และได้รับการคัดเลือกเข้าประกวดที่คานส์เมื่อปี 2005 ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำและหนังได้รับบทยอดเยี่ยมในปีนั้น ดังนั้นการกลับมาสู่คานส์ด้วยเรื่อง The Homesman ช่วยตอกย้ำฝีมือในการกำกับของเขาอยู่ ไม่มากก็น้อย
หนังเล่าเรื่องของคัดดี้ หญิงสาวที่พำนักอยู่บริเวณชายขอบของอเมริกาในยุคเคาบอย จับพลัดจับผลูให้เป็นผู้ขนส่งหญิงเสียสติสามคนในเมืองนี้ไปรักษาที่โบสถ์ในไอโอว่า คัดดี้ต้องเดินทางบนเกวียนกว่า 400 ไมล์ บนเส้นทางโดดเดี่ยวและแทบจะไร้ผู้คน เขาไปพบกับนายกระจอกจอร์จ บริกส์ที่กำลังจะเป็นจะตายเท่ากันจากการถูกแขวนคอ คัดดี้ยอมช่วยจอร์จ โดยเขาต้องรับปากว่าจะช่วยเธอในการเดินทางครั้งนี้
ความยากลำบากในการเดินทาง ผสมผสานกับการเรียนรู้ชีวิตของหญิงทั้งสาม ทำให้คัดดี้ตัดสินใจกระทำบางอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น เหลือจอร์จเพียงคนเดียวที่จะต้องรับผิดชอบหญิงบ้าทั้งสาม ตอนแรกเขาตัดสินใจทิ้งพวกเธอไว้ในป่านั้น แต่แล้วเขาเปลี่ยนใจ
ทอมมี่ ลี โจนส์เป็นเฟมินิสต์ การนำเสนอเหตุผลที่ทำให้หญิงเหล่านั้นเสียสติในฐานะตัวแทนของสังคมตะวันตกในยุคบุกเบิกนั้น ดูเหมือนจะตอกย้ำข้อเท็จจริงเหล่านั้น และเมื่อเขาเป็นผู้ชายในอุดมคติที่หายาก ผู้หญิงอย่างดิฉันจึงให้อภัยกับความไม่ต่อเนื่องและปะติดปะต่อในการนำเสนอความละมุนละไมของหนังเรื่องนี้ อันที่จริงหนังมีจุดเด่นหลายประการในการใช้มุมกล้องและถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้ มันเวิ้งว้าง ห่างไกล โดดเดี่ยว เหมือนสังคมอเมริกันในยุคนั้น และอาจจะเหมือนผู้หญิงในยุคเคาบอย แม้เหตุผลที่ทำให้พวกเธอเสียสตินั้น มิได้เกิดจากน้ำมือชายทั้งหมด แต่สภาพความขาดแคลนและห่างไกลของสังคมอเมริกาตะวันตกยุคนั้น ก็มีส่วนที่บีบรัดความเป็นอยู่ของชีวิตหญิงเหล่านั้น
หนังมีฉากละมุนละไมที่แสดงให้เห็นความผูกพันของหญิงทั้งสี่กับชายนายกระจอกอย่างนึกไม่ถึง ยังไม่รวมไปถึงความเข้าใจและความเอื้ออาทรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คัดดี้มีต่อหญิงบ้าเหล่านั้น รวมทั้งฉากที่ทำให้ช็อคอยู่หลายตอน แต่จุดดีเหล่านี้มันไม่ได้มีอย่างต่อเนื่อง หลาย ๆ ตอนก็ยังมีภาพทอมมี่ ลี โจนส์ที่พวกเราคุ้นเคย นอกไปจากนั้นช่วงให้ที่มาของตัวละครหญิงทั้งสี่คนมากเกินไปหน่อย มันไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น ถ้าหนังเน้นการเดินทางของพวกเขา อาจจะทำให้หนังน่าสนใจกว่านี้
เป็น road movie แบบเฟมินิสต์จากชายหน้ายับที่ชื่อทอมมี่ ลี โจนส์ |