Day 3 / 16 พฤษภาคม
The Captive Sweet Hereafter ฉบับเดินเส้นคู่ขนาน
อะตอม อีโกยัน เคยได้รับรางวัลจากคานส์เมื่อปี 1997 Sweet Hereafter หนังเล่าเรื่องการผชิญหน้าของผู้สูญเสียอันเนื่องมาจากรถนักเรียนเกิดอุบัติเหตุ จนเด็กเสียชีวิตเกือบทั้งคัน หนังดำเนินเรื่องจากความพยายามของทนายวัยกลางคนที่พยายามเรียกร้องให้ครอบครัวผู้สูญเสียมาเอาเรื่องกับเจ้าของบริษัทรถแห่งนั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อสู้กับตนเองของครอบครัวผู้สูญเสียกับโศกนาฎกรรมอันนั้น
ในลักษณะคล้ายกัน The Captiveพยายามย้อนรอยการสูญเสียของสามีภรรยาคู่หนึ่งเมื่อลูกสาววัยแปดขวบหายสาบสูญไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพียงพ่อแวะเข้าไปซื้อไอศครีมให้ลูกสาว หนังดำเนินเรื่องท่ามกลางฤดูหนาวอันเยือกเย็นเช่นเดียวกับ Sweet Hereafter โดยเน้นภูมิทัศน์อันหนาวเหน็บและมีแต่ความขาวโพลน และเล่นกับความสูญเสียของพ่อแม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพอมาเป็นเรื่องนี้ ความสูญเสียนั้นอยู่ยาวนานถึงแปดปีในใจจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็พบร่องรอยบางอย่างว่าลูกสาวไม่ได้หายไปไหน
The Captive เป็นหนังทริลเลอร์ที่น่าจะไปฉายในเทศกาลหนังอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่ามาคานส์ นอกจากภูมิทัศน์อันโดดเด่นที่ต้องยกความดีให้ตากล้องแล้ว อะตอมก็ยังแสดงให้เห็นชั้นเชิงเก่า ๆ ของเขาจาก Sweet Hereafter อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าฉบับแรกนั้น เขาเดินเส้นทางหนังด้วยความนิ่งงัน หนาวเย็น แม้กระทั่งเมื่อถึงไคลแมกซ์ ก็จากไปอย่างเงียบ ส่งผลให้พลังแห่งความสูญเสียมันถ่ายทอดมาถึงผู้ชมอย่างแรงกล้า เข้าทำนองที่ว่า น้ำนิ่งไหลลึก แต่พอมาเป็น The Captive เขาคงกลัวว่าจะเดินย้อนรอยเดิมในเรื่องความสูญเสีย ก็เลยปรับให้เป็นหนังสืบสวนสอบสวนไปด้วย พ่อแม่ของเด็กน้อยไม่ได้เป็นตัวละครหลัก แต่ยังมีตำรวจกับหัวหน้าตำรวจที่ตอนหลังก็ถูกลักพาตัวไปในที่สุด ส่วนจะรอดหรือไม่ ให้รอดู พอหนังมันเอาหลายอย่างมากเกินไป มันก็เลยรายละเอียดที่น่าจะมีพลังอย่างการแสดงของพ่อแม่ ก็ตกไป เพราะถูกแจกจ่ายความสำคัญไปให้กับตัวละครอื่น ๆ
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้นอกจากภาพแล้ว หลาย ๆ ตอนก็แสดงให้เห็นการปรับตัวทำ หนังใหญ่ ของอะตอม อย่างตอนที่ลูกสาวถูกลักพาตัวนั้น การจ้องมองได้รับการนำเสนอแม้แต่ผู้เป็นบิดา ดนตรี การตัดต่อ มุมกล้อง แม้จะดูเอกเกริก ก็แสดงให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยได้พบเห็นนักในหนังตลาด
แม้จะถูกโห่ แต่หนังเรื่องนี้ก็มีคนเดินออกมาน้อยกว่าหนังของไมค์ ลีห์ เรื่อง Mr. Turner นะคะ อาจจะไม่เหมาะสำหรับคอหนังอาร์ต เจ้าของลัทธิว่าหนังอาร์ตคือหนังดี หนังตลาดคือหนังเลว
Winter Sleep ฉันยังคงรักเธอเสมอ
หนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับชาวตุรกีผู้นี้ Nuri Bilge Ceylan เป็นหนังประกวดที่ยาวที่สุดถึง ชั่วโมง นาที แต่กลับกลายเป็นว่านี่เป็นหนังที่เข้าใจง่ายที่สุดของเขาก็ว่าได้
หนังเล่าเรื่องชีวิตบั้นปลายของ Aydin อดีตนักแสดงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อนาโตเลีย กับภรรยานิฮัล เขาเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาติต่าง ๆ พร้อมกับสร้างงานเขียนเล็ก ๆ แต่ Aydin กำลังมีปัญหากับเมียยังสาวของเขา ขณะที่เขามีปัญหากับชาวบ้านที่ติดเงินเขา นิฮัลกลับอยากพยายามช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ยิ่งไปกว่าเดิม จนกระทั่งถึงฤดูหนาว เรื่องราวและสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของทั้งสองก็เปิดเผยขึ้น
แม้ชื่อหนังจะมีนัยถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศเหมือนหลาย ๆ เรื่องของนูรีก่อนหน้านั้น และในการเชื่อมโยงกับอากาศ นูรีมักจะถ่ายทอดออกมาด้วยภาพทิวทัศน์ข้างนอกมากกว่า แต่ Winter Sleep เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยการเน้นภาพในบ้านเกือบตลอดทั้งเรื่อง โดยมีฉากทิวทัศน์เพียงน้อยนิด จนกระทั่งถึงชั่วโมงสุดท้ายของหนังนั่นแหล่ะที่เริ่มมีฉากด้านนอกมากกขึ้น ซึ่งก็ตรงกับช่วงหน้าหนาวพอดี และเป็นช่วงที่สามีภรรยาคู่นี้ออกห่างกัน โดยการเดินทางเข้าเมืองของคู่สามี
ในช่วงแรกซึ่งเน้นการถ่ายภาพในบ้านหรือในร่มนั้น มีการเล่าเรื่องแบบเบา ๆ ไม่เคร่งเครียดซีเรียสเหมือนเรื่องที่ผ่าน ๆ มา เน้นการใช้บทสนทนาเป็นหลัก เรียกได้ว่าผิดจากหนังเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ของนูรีเป็นอย่างยิ่ง อาจจะเป็นเหมือนการปูความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ซึ่งผู้กำกับยอมเสียเวลากับมันสองชั่วโมงกว่า ๆ วิธีการที่เปลี่ยนไปนี้ มันทำให้เราเห็นตัวตนของอัยดินชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งที่เขามีกับภรรยาและเพื่อนบ้าน และด้วยวิธีการที่ผ่อนให้เบาขึ้น ทำให้ดิฉันรู้สึกดูหนังเขาเรื่องนี้ได้ยาวนานมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านั้น แม้หลายคนอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องยาวขนาดสั้น
ดิฉันรู้สึกว่านูรียังต้องการบอกอะไรต่อหลังจาก Climate ผสมผสานกับความผูกพันของเขาที่มีต่ออนาโตเลีย เขาจึงทำเรื่องนี้ออกมา อาจจะเป็นอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทัศนคติต่อเรื่องราวเก่า ๆ เปลี่ยนไป ซึ่งเขาเฉลยออกมาในตอนจบหนังเรื่องนี้ แล้วคราวนี้เขายอมบอกมันออกมาชัดเจน มากกว่าการเล่าเรื่องด้วยภาษาเหมือนภาพยนตร์ก่อนหน้านั้น
ถ้าจะให้ดี ควรแวะกลับไปดูทั้ง Climate และ Anatolia อีกครั้ง ซึ่งอาจจะทำให้ความคิดของเราต่อหนังเรื่องนี้ชัดเจนขึ้นไปด้วย
Wild Tales รวมมิตรหนังสั้น
ก่อนออกจากเมืองไทย Wild Tales เป็นหนังประกวดเรื่องที่ดิฉันอยากดูที่สุด เพราะชื่อโปรดิวเซอร์อย่างอัลโมโดวาร์เพียว ๆ หลังจากดูตอนต้นเรื่องไปร่วม 15นาที ก็ดีใจมาก ตื่นเต้นที่จะได้พบผู้กำกับรุ่นใหม่ที่มีการทำหนังท้าทายเหมือนอย่างอัลโมโดว่าร์เคยทำสมัยหนุ่ม ๆ แต่พอเมื่อจับทางได้ว่านี่เป็นเพียงหนังสั้น 6 เรื่องที่มีประเด็นร่วมในเรื่องความรุนแรงและการย่อยยับแล้ว เริ่มงงแทนว่าทำไมรวมมิตรหนังสั้นก็เข้าสายประกวดได้ด้วย
หนังเริ่มเรื่องจากเที่ยวบินหนึ่งที่ไป ๆ มา ๆ ผู้โดยสารต่างรู้จักชายหนุ่มคนเดียวกัน ซึ่งหนังเฉลยในตอนจบว่าเป็นหัวหน้านักบินเที่ยวนั้น เรื่องที่สองเป็นการแก้แค้นของแม่ครัวกับอดีตนายหน้าเงินกู้ ตามมาด้วยความรุนแรงของชายสองคนบนถนนสายเปลี่ยว การตอบโต้ของวิศวกรกับการเรียกค่าปรับไม่รู้จบสิ้นของรัฐบาล การฉ้อโกงคดีในสังคมอาร์เจนติน่า และการแก้แค้นของคู่บ่าวสาวในคืนแต่งงาน
หนังมันก็สนุกน่ะค่ะ แต่ละเรื่องมันกระชับ และบทที่คาดไม่ถึง แต่ด้วยธีมที่แทบจะย้ำอยู่กับที่ในเรื่องความรุนแรง เลือด และความย่อยยับที่เกิดขึ้น ทำให้พอถึงเรื่องที่สามชักไม่สนุกล่ะ ยิ่งมาถึงเรื่องสุดท้าย ชักจะรำคาญ และไม่เข้าใจเหมือนกันว่า รวมมิตรแบบนี้เอาเข้ามาได้ยังไง
สมควรถูกโห่มากค่ะ โดยเฉพาะคนที่เกลียดหนังรวมมิตรเหล่านี้
|